ปีนัง…เมืองโบราณที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม เรื่องราวที่น่าสนใจ เมืองที่เหล่าฮิปสเตอร์ต้องไปสักครั้ง เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านตากับ Street Art ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะปีนังไปแล้วแต่รู้หรือไม่ ปีนัง มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ และที่สำคัญเมืองนี้เที่ยวง่ายค่าใช้จ่ายไม่แพงด้วยค่ะ
การเดินทางครั้งนี้แบกกล้องเที่ยวได้รับเกียรติจากการท่องเที่ยวมาเลเซียที่จับมือกับ Greenwave 106.5 ในกิจกรรม “Green Fan Club George Town Photo Hunt” พาแฟนๆ Greenwave ไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งปีนัง 3 คืน 4 วัน พร้อมกับดารา และดีเจ รวมทั้งพี่ฉอด ผู้บริหารก็ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย
เมื่อรู้ว่าทริปนี้มีน้องทอย หนุ่มวัยใส ขวัญใจสาวๆ เดินทางไปด้วยนี่ก็ตื่นเต้นประหนึ่งย้อนวัยไปสู่ช่วง 18 อีกครั้ง ฮาา ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกแล้วออกเดินทางด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบิน FD 401 เวลา 13.35 น. หลับไปหนึ่งตื่นก็ถึงสนามบินปีนัง เวลา 16.20 น. เวลาที่ปีนังเดินเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเดินทางถึงต่างประเทศคือการปรับเวลาให้เท่ากับเวลาท้องถิ่นนั่นเองค่ะ สำหรับสกุลเงินที่ใช้ในปีนังคือ ริงกิตมาเลเซีย (MYR) 1 ริงกิต = 8.3 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.พ. 60) คำนวณง่ายๆ เวลาซื้อของก็คูณ 8 ไปเลยค่ะ
รถมารับที่สนามบินพร้อมกับไกด์ชื่อพี่ ไอวัน หนุ่มผิวเข้ม อายุประมาณ 40 กว่าๆ รูปร่างกำลังดี ใส่เสื้อลายดอกสีน้ำเงิน สวมกางเกงแสลคสีดำ หวีผมเรียบร้อย เป็นภาพแรกที่แม้ไม่ได้กดชัตเตอร์บันทึกภาพไว้แต่เรากลับจดจำได้อย่างแม่นยำ พี่ไอวัน เดินมาทักทายเราเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับถามเราว่า “พูดไทยได้มั้ย” เราค่อนข้างแปลกใจที่ประโยคนี้เราควรจะถามพี่มากกว่า แหม! ทักประโยคแรกก็ตลกแล้วทริปนี้ต้องสนุกแน่
..พี่ไอวัน เป็นชาวมาเลแต่พูดไทยสำเนียงทองแดงได้ เวลาฟังพี่แกพูดต้องตั้งใจฟังมากๆ เพราะเหมือนฝรั่งที่พูดไทยไม่ชัดแถมยังทองแดงอีก เหมือนแหล่งใต้สำเนียงฝรั่ง งงมั้ย ฮาา..
ตัดภาพ// จากสนามบินเราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยตอนนั้นรู้สึกหิวมากๆ เราก็ได้เวลามาทานมื้อแรกกันที่ร้าน The Legend Nyonya House
ร้านนี้เป็นร้านอาหารแนวเปอรานากัน (Peranakan) งงล่ะสิ มันคืออะไร คืองี้เราไปหาคำตอบจากกูเกิ้ล เอ๊ย! ฟังไกด์เล่าวันนั้นแหละได้ความว่าก็คืออาหารมลายู-จีน ผสมผสานกันนิยมกันในแถบ สิงคโปร์ มาเลเซีย สมัยก่อนยุคที่ชาวจีนโล้สำเภานั่นแหละก็เกิดการผสมผสานกันของวัฒนธรรมการกินก็เลยเกิดอาหารแนวนี้ขึ้นมา เรียกว่าเป็นอาหารท้องถิ่นมาเลเซียที่มาถึงต้องชิมเป็นสิ่งแรก เก็ตป่ะ!
ถือว่าเป็นมื้อแรกในเกาะปีนังที่ดีงาม ยกน้ำชาจิบเบาๆ รออาหาร
Curry Prawns จะเรียกว่ากุ้งผัดผงกะหรี่ก็ไม่เชิงเพราะมาแบบน้ำแกงเข้มข้นเลยค่ะ
Nyonya Brinja มะเขือม่วงผัดโนนยา เมนูชื่อแปลกดี รสชาติก็เหมือนมะเขือผัดที่ไม่ได้ปรุงรสออกแล้วจืดๆ แล้วก็ราดเครื่องแกงลงไป
Nasi Ulam ข้าวยำสมุนไพรแบบมาเลย์ ถ้ามีส้มโอหน่อยนะนี่เหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเราเลย รสชาติคล้ายๆ กัน
Tau Ewe Bak หมูสามช้ันต้มพะโล้ เราชอบเมนูนี้ที่สุดหมูนุ่มมาก ไม่หวานเกินไปกำลังดีกินกับข้าวยำอร่อย
และยังมีอีกหลายเมนูในสำรับนี้ค่ะ โดยรวมอร่อยทุกอย่างทานได้หมด ไม่ค่อยต่างจากอาหารจีนบ้านเราเท่าไร
หลังจากอิ่มมื้อเย็นที่ทานกันก่อนพระอาทิตย์จะตกดินซะอีก เดินออกมาหน้าร้านอาหารก็มีมุมฮิปๆ ให้ถ่ายรูปกันแล้วืร้านนี้เป็นร้านขายโปสการ์ดเก่าแก่ร้านหนึ่งเลยค่ะ ไม่ได้เข้าไปดูด้านในเพราะร้านใกล้จะปิดแล้ว
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นทริปที่เราจะไปตามหาภาพวาดบนผนังที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวปีนังซึ่งมีอยู่ด้วยกันเยอะมาก และภาพทั้งหมดนั้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ที่เดียว แต่กระจายตัวอยู่ทั่วจอร์จทาวน์ ภาพเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นในปี 2012 ฝีมือนาย เออร์เนสต์ ซาคาเรวิกนี้ (Ernest Zacharevic) ชาวลิธัวเนีย ซึ่งเขาได้วาดภาพ 8 ภาพ และยังมีนักวาดภาพคนอื่นๆ อีกด้วยในปีต่อๆ มาซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ และไฮไลต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มุ่งตรงมาที่จอร์จทาวน์
ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วัน 4 คืน ให้ความรู้สึกเหมือนนักล่าอาร์ซีที่ต้องเก็บแต้มให้ครบ
.
.
อะ ได้เวลาปฎิบัติการ เริ่ม!
และแล้วเราก็มาเจอรูปแรก ซึ่งอยู่ในซอยข้างๆ ร้านโปสการ์ดหรือตรงข้ามกับร้านอาหาร ภาพนี้ชื่อ Brother and Sister on a Swing นอกจากความดีใจที่ได้เจอภาพแล้วความสนุกอีกอย่างของการมาที่นี่คือการครีเอทท่าทางในการถ่ายรูปให้เข้ากับภาพนี่แหละ
จะนั่งเก้าอี้คู่กับน้องๆ
หรือมาเป็นคู่จับมือกันถ่ายแบบนี้เก๋ๆ ป่ะ แอร๊ยยยยเสียของนะคะแบบนี้อยากสลับตัวมาก
อีกภาพที่อยู่ติดกัน
ข้ามฝั่งกลับมาทางนี้จะมีโรงแรมคอนเทนเนอร์โรงแรมเล็กๆ ราคาน่าจะไม่แพง
ในซอยข้างโรงแรมด้านซ้ายมือจะมีภาพเด็กเล่นบาส Children Playing Basketball ภาพนี้ก็เป็นภาพยุคแรกเลยค่ะ
ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอถือเป็นการประเดิมวันแรกที่ดีมากได้มา 3 ภาพแล้ว เดินทางเข้าเช็คอินที่พักคืนนี้กันค่ะ เราพักที่ Sunway Hotel อยู่บนถนน Lorong Baru ลงจากรถก็ตกใจนึกว่าตัวเองเป็นน้องน้ำตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ มีผู้บริหารโรงแรม พนักงาน มารอรับกันเต็มเลย
เข้ามาด้านในก็รับ wellcome drink พร้อมกับดูโชว์สวยๆ
ห้องพักของเราอยู่ชั้น 14 นอนคนเดียวเหงาๆ ห้องใหญ่กว้างขวางดีค่ะ ราคาห้องพักที่นี่เริ่มต้น 1,700 – 2,000 บาท ถือว่าราคาถูกเลยนะสำหรับโรงแรม 4 ดาว
ได้ข่าวว่าตะกี้เพิ่งกินข้าวมาแต่พี่ร่วมทริปบอกว่าเราต้องไปเดินดูวิถีชีวิตผู้คนยามค่ำคืนนะยูจะเข้าห้องอาบน้ำนอนเลยไม่ได้ ก็จริงนะงั้นป่ะ ออกไปหาของอร่อยอารมณ์แบบโต้รุ่งบ้านเรากันค่ะ
คือพูดเหมือนต้องไปไหนไกลจริงๆ คือเดินออกมาจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายก็เจอเลยค่ะขวามือสูงๆ คือโรงแรมที่เราพัก
เอ๊ะนั่นเข้าคิวอะไรกันยาวเหยียดร้านนี้น่าจะทีเด็ด
แอบไปส่องมันก็คล้ายๆ ผัดไทยแบบบ้านเราค่ะ ไม่เอาไม่กินอะไรง่ายๆ แบบนี้หรอก
ชวนกันเดินไปเรื่อยๆ แต่ก็เน้นที่แสงไฟเพียงพอ ต่อให้ปีนังไม่ค่อยมีข่าวเรื่องวิ่งราว ปล้นนักท่องเที่ยวแต่ก็ระวังไว้ดีกว่า เดินออกมาจากถนน Lorong Baru เลี้ยวซ้ายไปนิดก็เจออาคารเก่าแก่สวยดีนะตอนกลางคืนแบบนี้
ผัดไทยตะกี้ธรรมดาไปมาถึงปีนังต้องกินทุเรียนสิคะ Food Truck ทุเรียนจ้าเท่สุด ใครเกลียดทุเรียนเข้าไส้มาปีนังคุณจะเจอทุกที่แบบตามหลอนเลยล่ะ ฮา แต่เราชอบมากกกก
เดี๋ยว!! แกรรจะกินทุเรียนตอน 4 ทุ่มไม่ได้
ได้สิ!
เหมือนคนบ้าเถียงกับตัวเองราคาก็แอบแรงนะคือเราลองถามลูกที่เล็กที่สุดแล้วก็ยัง 500 กว่าบาท เงินก็ไม่ค่อยมีแต่อยากกินก็เลยขอซื้อที่ป้าคนขายแกะไว้แล้ว 1 พลู สนน.ราคาที่ 40 บาท สบายใจ
เดินมาอีกฝั่งก็มีห้าง GAMA แต่ปิดแล้วก็พากันเดินกลับ
จบวันแรกแบบฟินๆ อย่างแรกคือได้ถ่ายรูปอาร์ตๆ ไป 3 รูปแล้ว อย่างสองได้กินทุเรียนแล้ว ฝันดี..
DAY 2
morning call ที่เป็นเสียงอัดไว้พูดไม่หายใจเป็นสเต็ปยาวๆ โทรมาปลุกตอน 7 โมงเช้า ด้วยความเคยชินกับการตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นก็ตกใจ ตายแล้วๆ ไม่ทันแน่ๆ พอลุกมาเปิดม่าน ว้าววพระอาทิตย์สาดส่องมาจากทางนี้พอดีเลย ไม่ต้องแบกกล้องไปที่ไหนเลยค่ะ
ตึกสูงๆ นั่นคือแลนมาร์คของเกาะปีนังชื่อตึก Komtar และด้านหน้าโน้นก็คือทะเล
อาหารเช้ามี 2 ชั้น คือชั้น 14 และชั้นล็อบบี้ เดินมาชั้น 14 เงียบเหงาไม่มีคน ที่นั่งน้อย อาหารก็ไม่ได้หวือหวาอะไรค่ะแนวบุฟเฟต์
พอกินอิ่มแล้วลงมารอสมาชิกที่ล็อบบี้ตกใจว้ายกรี๊ดดดมากคือภาพคนมาต่อคิวกินอาหารเช้า ไม่เคยเห็นที่โรงแรมไหนมาก่อนในชีวิต ก็เลยคุยกับพี่ร่วมทริปว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องมาจัด…
วันที่สองของเราไปเที่ยวไหนบ้างตามมา สถานที่แรกในวันนี้คือ Penang Hill ภาษามาเลย์ เรียกว่า บูกิต เบนดารา (Bukit Bemdara) การเดินทางไปปีนังฮิลล์สามารถนั่งรถเมล์สาย 201 (ออกทุก 15-30 นาที) และ 204 (ออกทุก 25-40 นาที) สามารถขึ้นได้ที่เลน 2 โดยสาย 204 นั้นไปสุดสายที่ปีนังฮิลล์เลยค่ะ ราคาประมาณคนละ 2 RM (ประมาณ 20 บาท) ถ้าขึ้นหน้าตึก Komtar จะสะดวกมาก
ไหนใครบอกอยู่ที่สูงอากาศจะดีแต่วันนี้ร้อนมาก
ปีนังฮิลล์ต้องซื้อตั๋วเข้าไปเที่ยวกัน ราคา 10 RM ส่วนราคา 30 RM คือราคา Fast Lane แบบไม่ต้องรอคิวขึ้นรถรางนานๆ คือถ้าคนไหนใจร้อนก็จ่าย 30 RM ไปเลยแต่ราคาก็แพงเอาการ แนะนำให้ไปวันธรรมดาดีกว่าจะได้ไม่ต้องต่อคิวนานๆ แถมยังไม่ต้องจ่ายเงิน 30 RM เพื่อซื้อเวลาด้วย
ได้ตั๋วแล้วก็มาขึ้นรถรางทางนี้
ใครไม่กลัวความสูง ชอบความตื่นเต้นแนะนำให้นั่งด้านหน้าสุดเลยจะได้เห็นวิวแบบนี้
ขึ้นมาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
ปีนังฮิลล์นั้นอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 830 เมตร และถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเกาะปีนังอีกด้วย ปัจจุบันปีนังฮิลล์ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองรวมไปถึงเกาะปีนังแบบกว้างไกลสุดสายตา นั่นจึงทำให้บริเวณนี้เป็นมุมดีที่สุดในการถ่ายภาพตัวเมืองจอร์จทาวน์ในยามค่ำคืนอีกด้วย
นอกจากวิวแล้วด้านบนของปีนังฮิลล์ ยังมีศาลานั่งเล่น พิพิธภัณฑ์นกฮูก ร้านอาหาร มัสยิด สนามเด็กเล่น วัดฮินดู สวนนก และ สวนดอกไม้
คล้องกุญแจแบบเกาหลีก็มีด้วยนะ
ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อนทำให้อยู่กันไม่นานค่ะ ขาลงแนะนำให้นั่งด้านหน้าเหมือนเดิมนี่นั่งใกล้สองหนุ่มตื่นเต้นอีกแล้ววววว
คนที่ชอบถ่ายรูปขาลงจะได้วิวเมืองที่สวยไปอีกแบบ
ออกจากปีนังฮิลล์ประมาณ 11 โมง ไปเที่ยวกันต่อที่ Kek Lok Si Temple วัดเก็กลกสี่ คนไทยมักเรียกว่า วัดเขาเต่าปีนัง รู้จักกันในอีกชื่อหนี่งคือ Temple of Supreme Bliss เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นหนึ่งในวัดดังของปีนังด้วย การเดินขึ้นไปบนวัดจะผ่านร้านขายของแบบนี้ ช่วงที่ไปทางวัดมีการก่อสร้างบันไดทางขึ้นใหม่ทำให้รู้สึกว่าข้าวของจะเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึก
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดแห่งนี้คือเจดีย์สมเด็จพระรามหก (เจดีย์พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์) ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1930
เข้าไปด้านในทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิตด้วยริบบิ้นแต่ละสีมีความหมายคนละแบบเป็นไอเดียที่ดีเลยถ้าไม่รู้จะหยิบสีไหนแนะนำสีส้มมีความหมายว่าขอให้สมหวังทุกสิ่ง จบครบในเส้นเดียว จ่ายคนละ 1 RM หยอดในกล่องค่ะ
สมกับเป็นวัดไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริงๆ ค่ะ ตอนแรกนึกว่าจบแค่นี้ยังมีนั่งรถรางขึ้นไปข้างบนต่อคนละ 2 RM
ด้านบนจะเป็นลานกว้างมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงใหญ่
สามารถชมวิวจากด้านบนนี้ก็สวยเหมือนกันค่ะ
นอกจากนั้นยังมีบ่อเต่าที่นั่งพักเหนื่อยลมพัดเย็นสบายมุมนี้ได้อีกด้วยค่ะ ขากลับก็ใช้เส้นทางเดิมคือนั่งรถรางลงและเดินลงบันไดไปจนถึงลานจอดรถ
มื้อเที่ยงร้าน GEM เป็นร้านอาหารอินเดียแบบบุฟเฟต์เดินไปตักอาหารได้เลยด้วยความหิวอย่างหนักทุกคนเลยกรูไปตักอาหารไม่สามารถมีพื้นที่ให้ถ่ายรูปมาอวดได้ต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยนะ เครื่องดื่มเด่นๆ ของร้านอาหารที่นี่คือ น้ำมะม่วง ที่เป็นลักษณ์ของที่นี่ไปแล้วจะร้านอาหารแนวไหนมีหมด (ของชอบเราด้วยสิคะ) เข้มข้นมากหวานมันเชียว อาหารอินเดียมื้อนี้ประกอบไปด้วย แกงมาซาลาไก่หมักโยเกิร์ต แกงมาซาลาไข่ต้ม แกงมันฝรั่ง หอมใหญ่ มะเขือเทศ และแกงปลา ในทริปโหวตกันว่าแกงปลาอร่อยสุด (เสียดายไม่มีภาพประกอบ)
อิ่มท้องไปเที่ยวกันต่อวันนี้ตารางค่อนข้างแน่นบอกแล้วว่าปีนังที่เที่ยวเยอะมาก
.
.
สายบุญต้องชอบ สายวัดต้องไปที่นี่ วัดไชยมังคลาราม ชื่อคุ้นหูเหมือนอยู่แถวอยุธยา
วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทย ตั้งอยู่บนถนนพม่า เขตปูเลาติกุส รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงมานานบนเกาะปีนัง วัดไชยมังคลารามเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในปี พ.ศ. 2388 มีอายุกว่า 160 ปี
โดยภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย ยาว 108 ฟุต สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505 และทรงชมว่า “ปั้นได้ดีปั้นได้สวย” และวัดนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณรับผ้าพระกฐินพระราชทานจากพระองค์ท่านเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558
การทำบุญในวัดจะเป็นการถวายเทียนดอกไม้แบบนี้ค่ะ ราคาเริ่มต้น 10 RM
ทำบุญเสร็จเดินออกมาหน้าวัดมีของดีของเด็ดนั่นก็คือ ไอศกรีมมะพร้าว คนขายพูดไทยได้ด้วย
ตรงข้ามกับวัดไชยมังคลาราม มีวัดพม่าตั้งอยู่ชื่อ Burmese Buddhist Temple หรือวัดธรรมิการาม เดินข้ามถนนไปได้เลยค่ะ
ด้านในอุโบสถมีพระประธานยืนแกะสลักด้วยหินอ่อนที่งดงามมาก
ออกจากวัดประมาณบ่าย 4 โมงเย็นแวะไปซื้อช็อกโกแลตของฝากขึ้นชื่อเมื่อไปเที่ยวมาเลเซีย ซึ่งร้านแบบนี้จะมีหลายร้านทั่วเกาะปีนังค่ะ
เดินเข้าไปนี่พนักงานทักทายเป็นภาษาไทยเลย เอาช็อกโกแลตมาให้ชิมทุกรส ทุกแบบ เอาจริงชิมจนไม่ไหว มีทั้งช็อกโกแลตนม เคลือบงา
ช็อกโกแลตทุเรียนก็มีด้วยนะ ราคาก็ตามป้ายก็ใช่ว่าจะถูกนะคะ
กองนี้ลดราคาเยอะเลย ซื้อไปซื้อมาแต่ละคนหมดกับค่าช็อกโกแลตเป็นพัน
ใครสายกาแฟร้านนี้อยู่ติดกันเลย
ถัดมาอีกร้านติดๆ กันเป็นร้านเน้นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำผึ้งค่ะ
เที่ยวหลายที่ ซื้อของฝากหมดไปเยอะหาอะไรทานกันต่อดีกว่ามื้อเย็นเป็นอาหารซีฟู้ดริมทะเลชื่อร้าน Bali Hai
บรรยากาศร้านเป็นแนวผสมผสานไทยนิดๆ จีนหน่อยๆ
ซุ้มไม้ไผ่ก็มีนะเออ เห็นแบบนี้อยากส้มตำ ไก่ย่าง ขึ้นมาทันที
ในส่วนของซีฟู้ดนั้นมีทุกแบบ
สดทุกอย่าง อลังการทุกตัว
ปลาทอด ด้านบนราดตะไคร้ทอดกับผักชีแซมด้วยพริกสด รสชาติก็แนวปลาทอดน้ำปลาทั่วไป
ต้มยำรวมทะเล ที่หอยเด่นมากแซบนะเด็ดเลยล่ะ
ปูผัดพริก ปูตัวใหญ่มากและกินยากด้วยมีความเลอะในเมนูนี้
กุ้งทอดกระเทียม อร่อยมากเป็นอาหารที่เราชอบที่สุดในบรรดาทั้งหมดนี้ทอดกุ้งได้กรอบมากแบบกินได้ทั้งตัว และที่สำคัญคืออร่อยยันกระเทียม
จบวันที่สองด้วยความเหนื่อยล้าเบาๆ จากที่ตั้งใจจะไปเดินเล่นยามราตรีเหมือนคืนแรกเป็นอันจบไปก็เลยเปลี่ยนแผนว่าจะไปว่ายน้ำ พอไปถึงสระยังไม่ปิดแต่ว่าสระค่อนข้างเล็กมากสรุปเข้าห้องนอนค่ะ
DAY 3
เช้านี้ได้รับ Morning Call เวลาเดิม แต่วันนี้เราจะไปลองมื้อเช้ากันที่ชั้นล็อบบี้พอไปถึงความวุ่นวายๆ ก็เกิดขึ้นมีการแย่งโต๊ะกันด้วยค่ะ สรุปไม่เวิร์กกินแบบไม่ได้อรรถรสจะมัวมานั่งละเลียดค่อยๆ กินมื้อเช้าไม่ได้เพราะมีสายตาอีกหลายสิบคู่ที่รอคิวอยู่ด้านหน้าแนวๆ แบบรีบๆ กินได้มั้ย หิวค่าาา
ออกจากโรงแรม 9 โมง สถานที่แรกในวันนี้คือ Pinang Peranakan Mansion คฤหาสน์เปรานากันคืออาคารโออ่า ที่ได้รับการตกแต่งใหม่ให้บรรยากาศเก่าๆ ของชาวจีนในเขตช่องแคบของรัฐปีนัง หรือเรียกอีกอย่างว่า บาบ๋า-ย่าหยา (ที่ภูเก็ตก็มีนะคะ) ซึ่ง บาบ๋า ใช้เรียกชายที่เป็นลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซีย ส่วนย่าหยา ซึ่งหมายถึงหญิงลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซีย
อาคารแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่พักและสำนักงานของคาปิตัน ชุงเค็งกวี่ คนงานเหมืองและผู้นำองค์กรลับไห่ซานในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในคฤหาสน์มีโบราณวัตถุและของสะสมกว่า 1,000 ชิ้น บานประตูและหน้าต่างทำจากไม้แกะสลักแบบจีน ปูพื้นด้วยกระเบื้องแบบอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีงานหล่อเหล็กแบบสก็อตอีกด้วย
แต่ละห้องจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจโดยจะมีไกด์คอยพาเที่ยวชมค่ะ
ห้องนี้คือห้องแต่งตัวจะมีชุดแบบโบราณให้เราได้ชมกัน
ห้องนี้จะเป็นห้องหอของบ่าวสาว
เก้าอี้ตัวนี้คือ Love Chair เป็นเก้าอี้ดูตัวของหนุ่มสาวที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ตายๆ น้องทอยมองแบบนี้พี่ละลายแล้ววว
ชั้นล่างจะมีห้องที่แสดงผลงานไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีแต่งงานทั้งของบ่าว-สาว
รองเท้าที่เป็นงานแฮนด์เมดประณีต งดงาม สวยทุกคู่เลยค่ะ
Pinang Peranakan Mansion เปิดบริการตั้งแต่ 09.30 – 17.00 น. ค่าเข้าชม 20 RM
.
.
ได้เวลาไป Photo Hunt กันแล้วที่จอร์จทาวน์ ย่านที่เต็มไปด้วยงานอาร์ตไปถึง 11 โมงกว่าๆ แดดเปรี้ยงๆ ร้อนๆ อีกแล้วแต่นักท่องเที่ยวก็เยอะพอสมควรเลยค่ะ
ภาพแรกที่อยู่บริเวณต้นซอย Kids on Bicycle คนเยอะมากต้องเข้าแถวถ่ายรูป
เดินไปตามถนนเส้นนี้เลยค่ะซ้ายขวาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีสเหมือนภูเก็ตบ้านเรา
ถ้าไม่อยากเดินแนะนำให้เช่าจักรยาน จะปั่นเดี่ยว ปั่นคู่ ปั่นเป็นแก๊งมีให้เช่าทุกแบบ ส่วนเราขอเลือกเดินดีกว่าค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ จะมองเห็นกำแพงสีม่วงด้านหน้าชื่อภาพ Teach You Speak Hokkien หนุ่มน้อยวัยใส ที่จะมาสอนเราพูดภาษาฮกเกี้ยน
เลี้ยวเข้าไปในซอยจะเจอภาพนี้
แมวเหมียวตัวนี้ก็หลบมุมในซอยเหมือนกันต้องสังเกตุดีๆ บางคนอาจจะเดินเลยไป
เดินวนไปวนมาก็รู้สึกว่าทำไมเจอภาพเดิมๆ ก็เลยเดินไปอีกซอย
I Can Help Catch Rats แมวอ้วนตัวใหญ่ที่ทาสแมวเจอแล้วก็กรี๊ดกร๊าดกัน
Brother and Sister อยู่ใกล้ๆ กับแมวอ้วน
ที่จอร์จทาวน์บนถนนสายนี้นอกจากจะมี Street Art แล้วยังมีร้านกาแฟเก๋ๆ ชิคๆ อยู่ตามซอกซอยเพียบแนะนำร้านนี้ 1950 ร้านที่ข้างนอกก็เหมือนอาคารเก่าๆ บางคนดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าคือคาเฟต์
พอเข้าไปข้างในเซอร์ไพรส์มากกับบรรยากาศดิบๆ เท่ๆ แบบนี้ค่ะ
ราคาเครื่องดื่ม ขนม ก็ไม่ได้แพงอะไรมาก กาแฟเย็นแก้วละประมาณ 70 บาท
ขนมอร่อยแต่ชาเขียวที่เราสั่งมาติดหวานไปนิดนึง
ร้านนี้แอร์เย็นฉ่ำ wifi เร็วมากเรียกว่าเดินเหนื่อยๆ แวะมาจิบกาแฟนั่งโหลดรูปอัพเฟซบุ๊กอวดเพื่อนได้สบายๆ
.
.
ดันไปกินของหวานก่อนลืมไปว่ามีนัดมื้อเที่ยงที่ร้าน China House
ร้านอาหารจีนที่เก๋มาก มองจากข้างนอกก็แลดูเหมือนไม่มีอะไรพอเข้าไป อุต๊ะ! เต็มไปด้วยงานศิลปะ
ตัวร้านจะเป็นห้องแถวหนึ่งคูหาแต่ลึกมากมีกั้นเป็นห้องส่วนตัว
เดินไปด้านในเรื่อยๆ ก็สร้างความประหลาดใจตลอดทาง
ด้านในสุดมีสวนเล็กๆ หลุดไปอีกบรรยากาศเลย
ชั้นสองเป็นส่วนของแกลอรี่และของที่ระลึก
ลูกค้าแน่นร้านส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ในส่วนของอาหารนั้นจะเน้นเป็นอาหารเซตแบบกล่อง เครื่องดื่มมีทุกแนว กาแฟ ชา และขนมที่เยอะมากเหมือนกัน (แต่ขนมไม่ค่อยอร่อย) พิกัดร้านอยู่ตรงข้ามกับ Cheah Kongsi เป็นพิพิธภัณฑ์ของตระกูล Kongsi ไม่ได้เข้าไปชมที่นี่นะคะ
อิ่มท้องหนังตาเริ่มหย่อนอย่าเพิ่งหลับไปเพราะเรากำลังจะไปช้อปปิ้งโดยจะได้ข้ามสะพานที่ยาวที่สุดในปีนังคือข้ามน้ำทะเล 13.5 กิโลเมตร เพื่อไปยังแผ่นดินใหญ่ซึ่งสะพานจะมี 2 แห่ง อันที่ยาวที่สุดในรูปเลยค่ะรูปนี้ถ่ายบนรถผ่านกระจกนะคะ
ชมวิวท้องทะเลไปสักครู่ว่าจะพักสายตาสักพักแต่ไม่นาทีก็ถึงที่หมาย Design Village เอ้าต์เลทแห่งใหม่ล่าสุดที่แรก และที่เดียวในปีนัง ยังถือเป็นเอ้าต์เลทที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียอีกด้วย โดยเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ เน้นคอนเซปต์เอ้าต์เลทสำหรับครอบครัว
ตามมาจะพาไปช้อปค่ะ ที่นี่มีร้านค้ากว่า 150 ร้าน
เดินทุกร้านส่องทุกแบรนด์ได้ความว่าถูกน่าช้อปมากที่สุดคือ adidas เพื่อนๆ ในทริปได้มาคนละคู่สองคู่ นาฬิกา และน้ำหอมนี่ราคาพอๆ กับมาเก๊า ฮ่องกง คือราคาดีงาม ส่วนสินค้าอื่นๆ ไม่ได้ลดเยอะมากค่ะ
นอกจากร้านช้อปปิ้งก็ยังมีร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks และ The Coffee Bean & Tea Leaf ให้นั่งพักเหนื่อย ราคาพอๆ กับไทยค่ะ ส่วนเราขอไปส่อง Food Truck ฝั่งนี้มีร้านไก่ทอด ร้านเครื่องดื่มเย็นๆ ราคาเริ่มต้น 30-40 บาท มีที่นั่งคล้ายๆ ฟู้ดคอร์ต แอบเห็นคนมาเลนั่งเปิบข้าวด้วยมือกันด้วย
ออกจากเอ้าต์เลทประมาณ 5 โมงกว่าๆ อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาซะอย่างนั้นทำให้สถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยวรู้สึกเหี่ยวแห้งมากเพราะอะไรตามไปดู
.
.
เรากลับเข้าไปที่เกาะปีนังอีกครั้งเพื่อไปที่ตึก Komtar ตึกที่สูงที่สุดในปีนังและสูงอันดับ 6 ในมาเลเซีย
จุดหมายในครั้งนี้ไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งแต่อย่างใด เราจะไปที่ The Top คือการขึ้นไปชมวิว 360 องศา
ราคาผู้ใหญ่ 118 RM หรือประมาณ เกือบคนละหนึ่งพันบาทราคาแอบแรงแต่คุ้มค่านะคะ
เดินขึ้นไปในลิฟต์ที่มืดสนิทเมื่อลิฟต์กำลังขึ้นก็จะมีจอปรากฏเรื่องเล่าของการสร้างตึกนี้ พร้อมกับการสร้าง The Top จุดชมวิว 360 องศา ฟังเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นจนจบลิฟต์ก็มาถึงชั้น 65 พอดีค่ะ ถือเป็นการเปิดตัวที่เริ่ดอยู่นะ
ตรงกระจกก็จะมีคำอธิบายสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของเราว่าคืออะไร
คล้ายๆ กับหลายเมืองที่มองลงผ่านกระจกใสแล้วเห็นรถวิ่งไป-มา ด้านล่าง แอบหวาดเสียวเล็กน้อย
ขึ้นลิฟต์ไปต่อที่ชั้น 68 เรียกว่า Window of The Top มีบาร์อยู่ด้านบน
ใครจะมานั่งชิลล์บนนี้ต้องจองโต๊ะล่วงหน้านะคะ
ที่บอกตอนต้นว่าฝนไม่น่าตกเลยเพราะเหี่ยวเฉามาก (เราเคยจ่ายเงินแพงเพื่อขึ้นไปถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์บนตึกโมริอารมณ์แบบนี้เลยฝนตกเซ็งมาก) ไม่สามารถเดินไปยืนตรงกระจกนั้นได้เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยนะคะ
เวลาที่สวยที่สุดสำหรับช่างภาพที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ landscape คือตอนเย็นช่วงพระอาทิตย์ตกจนถึงแสงทไวไลท์ที่นี่จะสวยมากๆ
เดินลงกันมาอย่างเซ็งๆ อารมณ์เหมือนจ่ายหลักพันแต่ได้ดูแค่หลักสิบ ไปทานมื้อค่ำกันดีกว่าที่ร้านอาหารจีนค่ะ
จบวันที่สามแบบปวดเมื่อยเล็กน้อยเนื่องจากเดินค่อนข้างเยอะตั้งแต่เช้ายันเย็น หลับสนิทเลยค่ะ
DAY 4
เช้านี้ Free Day ไม่มีเสียง morning call มากวนใจแล้วอยากจะตื่นเวลาไหนก็ได้ อยากจะไปเที่ยวที่ไหนต่อก็ได้แต่ต้องไปเองนะดีเลยค่ะเราชอบแบบนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป พิพิธภัณฑ์กล้องที่ถนน Jalan Muntri ค่าเข้าชมประมาณคนละ 20 RM แต่อีกใจก็ลังเลว่าเรายังเก็บภาพที่ Street Art ไม่ครบเลยมันควรจะไปอีกรอบนะ
สรุปก็จะกลับไปที่เดิมค่ะ ไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมก่อนไปก็ไปถามพนักงานที่ล็อบบี้ว่าราคาประมาณเท่าไร พนักงานบอก 15 RM ราคาไม่แพง (จริงๆ จะเดินไปก็ได้นะถ้ามีเวลา) แท็กซี่ที่นั่นไม่กดมิเตอร์นะคะ
ลุงแท็กซี่ท่าทางใจดีเห็นเรากับพี่อีกคนพูดกันภาษาไทยลุงก็ชวนคุยเลยจ้า
“คนไทยเหรอ” อ้าวลุงพูดไทยชัดเชียว
“ทำไมลุงพูดไทยได้คะเก่งจังชัดมาก” เราถามด้วยความตื่นเต้น
“ลุงเคยไปแถวบางขุนพรหมรู้จักมั้ย”
“นั่นแน่ ลุงมีแฟนอยู่ที่นั่นใช่มั้ย 55” ลุงไม่ตอบแต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
กำลังคุยกับลุงเพลินๆ แป๊บเดียวก็มาถึง
แต่วันนี้กลับรู้สึกดีกว่าเมื่อวานเพราะตอนเช้าๆ บรรยากาศดีมาก นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเดินถ่ายรูปเพลินเลย
ว่าจะเช่าจักรยานแต่ร้านนี้ยังไม่เปิด
เดินเล่นไปสักพักเริ่มมีนักท่องเที่ยวปั่นกันแล้ว
รู้สึกดีใจที่กลับไปอีกรอบเพราะเราพลาดภาพอีกเยอะเลย
มีภาพหนึ่งซึ่งอยากรู้มากว่าอยู่ที่ไหนเนื่องจากเพื่อนร่วมทริปทุกคนบอกหาไม่เจอนั่นก็คือรูปคุณลุงพายเรือ เราก็เอารูปไปเดินถามคนท้องถิ่นบอกว่าอยู่ที่ love lane
love lane อยู่ไหนหว่า เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เจอไฟแดงเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย โอ๊ยยงงค่า 55
แต่ก็ไม่ละความพยามยามเดินกันไปเรื่อยๆ ไม่ร้อนด้วยค่ะ อากาศดี๊ดี ใครที่อยากหาอาหารเช้าแบบท้องถิ่นให้ไปถนนเส้นนี้ร้านอาหารเพียบ
เย่! เจอแล้ว love lane มันคือถนนเส้นนี้ที่มีโฮสเทลเก๋ๆ มีร้านกาแฟฮิปๆ เพียบ เป็นถนนที่นักท่องเที่ยวชอบมาพักกันค่ะ
เดินจนสุดให้เลี้ยวขวาจะเจอลุงแอบอยู่ตรงนี้ กรี๊ดดดดดีใจมากประหนึ่งหา RC ตัวสุดท้ายเจอ ร้องเสียงดังจนลุงคนปั่นจักรยานหันไปดูพวกแกกรี๊ดอะไรกัน 55
The Indian Boatman
ประสบความสำเร็จกับลุงไปแล้วเดินไปตามหาภาพอื่นๆ กันต่อค่ะ ซึ่งเรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เดินไปที่จุดตัดระหว่างถนน Lebuh Armenian และ Lebuh Pantai จะมีภาพอีก 4 ภาพค่ะติดกันเลย
Old Motorcycle
Boy On Chair หน้าร้านขนม Ming Xiang Tai ตรง Gat Lebuh Armenian
นอกจากภาพวาดแล้วยังมีเหล็กดัดรูปการ์ตูน เป็นอีกชิ้นงานศิลปะของจอร์จทาวน์ ชิ้นงานทั้ง 52 ชิ้น ที่บอกเล่าเรื่องราวขำๆ และประวัติศาสตร์ของเมืองซึ่งถูกจับวางอยู่ตามมุมต่างๆของจอร์จทาวน์การจะตามหาให้ครบทุกชิ้นนั้นต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์แน่ๆ
หมดเวลาสำหรับ Photo Hunt ในวันนี้แล้วเรากลับไปเช็คเอ้าต์ที่โรงแรม ขากลับใช้บริการแท็กซี่เหมือนเดิมจริงๆ ราคาสามารถต่อรองได้
.
.
มื้อเที่ยงสุดท้ายก่อนกลับที่ปีนัง
D Dapor Restaurant ร้านอาหารมาเลอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านชาวประมง ชอบถนนย่านนี้มากมีความยุโรป นึกว่าเดินอยู่นิวยอร์ก (ถามว่าเคยไปเหรอตอบเลยว่าไม่ดูรูปเอา)
ไข่เจียวกระเทียม อร่อยสุดในทั้งหมดนี้
ผักโสภณผัดเห็ด ชื่อเมนูแบบนี้จริงๆ นะ มันก็คือผัดผักรวมนั่นแหละค่ะแต่เน้นเห็ดเป็นนางเอกของจาน
กุ้งผัดเนย มันๆ ดีนะ ใครควบคุมน้ำหนักไม่แนะนำเลย
สถานที่เที่ยวสุดท้ายในทริปนี้คือ หมู่บ้านชาวประมง
มีร้านขายของสองข้างทางไปจนถึงท่าน้ำ
ร้านเด็ดที่หมู่บ้านชาวประมงคือร้านไอศกรีมทุเรียนชื่อร้าน Desert n’ smile
เอแคลร์ก็มีนะทั้งไส้ทุเรียน และชาเขียว
ไอศกรีมชาเขียวคืออร่อยมาก มีความหมอนทองหอมละมุนละไม
ส่วนร้านอาหารที่หมู่บ้านชาวประมงเห็นคนเยอะๆ ก็ร้านบะหมี่ชามยักษ์ร้านนี้เลยค่ะ
สายถ่ายรูปไปเย็นๆ หรือเช้าๆ น่าจะดีกว่าเพราะกลางวันอย่างร้อนเลย
ปีนังไปง่ายใช้เงินไม่กี่ตังค์เองนะ ไทยแอร์เอเชียบินตรง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – ปีนังวันละ 1 เที่ยวบิน ตั๋วราคาประมาณ 2,000 – 4,000 บาท (ช่วงโปรโมชั่นถูกมากๆ) ราคาที่พักก็หลักร้อย อาหารก็ไม่ได้แพง ใช้เงินประมาณ 5,000 – 6,000 บาทก็เอาอยู่ค่ะ
จบทริป 3 คืน 4 วัน กับภารกิจ Green Fan Club George Town Photo Hunt ขอบคุณ การท่องเที่ยวมาเลเซีย Greenwave 106.5 ที่จัดกิจกรรมให้เราไปสัมผัสเมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ อยากให้เพื่อนๆ ได้ไปสักครั้งแล้วจะหลงรักปีนังอย่างไม่ถูกตัว
#ปีนี้ปีนัง #mypenang #malaysiatrulyasia #แบกกล้องเที่ยว