ปีนัง…เมืองโบราณที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม เรื่องราวที่น่าสนใจ เมืองที่เหล่าฮิปสเตอร์ต้องไปสักครั้ง เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านตากับ Street Art ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะปีนังไปแล้วแต่รู้หรือไม่ ปีนัง มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ และที่สำคัญเมืองนี้เที่ยวง่ายค่าใช้จ่ายไม่แพงด้วยค่ะ

การเดินทางครั้งนี้แบกกล้องเที่ยวได้รับเกียรติจากการท่องเที่ยวมาเลเซียที่จับมือกับ Greenwave 106.5 ในกิจกรรม “Green Fan Club George Town Photo Hunt” พาแฟนๆ Greenwave ไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งปีนัง 3 คืน 4 วัน พร้อมกับดารา และดีเจ รวมทั้งพี่ฉอด ผู้บริหารก็ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย
batch_DSC00845
เมื่อรู้ว่าทริปนี้มีน้องทอย หนุ่มวัยใส ขวัญใจสาวๆ เดินทางไปด้วยนี่ก็ตื่นเต้นประหนึ่งย้อนวัยไปสู่ช่วง 18 อีกครั้ง ฮาา ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกแล้วออกเดินทางด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบิน FD 401 เวลา 13.35 น. หลับไปหนึ่งตื่นก็ถึงสนามบินปีนัง เวลา 16.20 น. เวลาที่ปีนังเดินเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง

สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเดินทางถึงต่างประเทศคือการปรับเวลาให้เท่ากับเวลาท้องถิ่นนั่นเองค่ะ สำหรับสกุลเงินที่ใช้ในปีนังคือ ริงกิตมาเลเซีย (MYR) 1 ริงกิต = 8.3 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.พ. 60) คำนวณง่ายๆ เวลาซื้อของก็คูณ 8 ไปเลยค่ะ

รถมารับที่สนามบินพร้อมกับไกด์ชื่อพี่ ไอวัน หนุ่มผิวเข้ม อายุประมาณ 40 กว่าๆ รูปร่างกำลังดี ใส่เสื้อลายดอกสีน้ำเงิน สวมกางเกงแสลคสีดำ หวีผมเรียบร้อย เป็นภาพแรกที่แม้ไม่ได้กดชัตเตอร์บันทึกภาพไว้แต่เรากลับจดจำได้อย่างแม่นยำ พี่ไอวัน เดินมาทักทายเราเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับถามเราว่า “พูดไทยได้มั้ย” เราค่อนข้างแปลกใจที่ประโยคนี้เราควรจะถามพี่มากกว่า แหม! ทักประโยคแรกก็ตลกแล้วทริปนี้ต้องสนุกแน่

..พี่ไอวัน เป็นชาวมาเลแต่พูดไทยสำเนียงทองแดงได้ เวลาฟังพี่แกพูดต้องตั้งใจฟังมากๆ เพราะเหมือนฝรั่งที่พูดไทยไม่ชัดแถมยังทองแดงอีก เหมือนแหล่งใต้สำเนียงฝรั่ง งงมั้ย ฮาา..

ตัดภาพ// จากสนามบินเราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยตอนนั้นรู้สึกหิวมากๆ เราก็ได้เวลามาทานมื้อแรกกันที่ร้าน The Legend Nyonya House batch_DSC00886
batch_DSC00853
ร้านนี้เป็นร้านอาหารแนวเปอรานากัน (Peranakan) งงล่ะสิ มันคืออะไร คืองี้เราไปหาคำตอบจากกูเกิ้ล เอ๊ย! ฟังไกด์เล่าวันนั้นแหละได้ความว่าก็คืออาหารมลายู-จีน ผสมผสานกันนิยมกันในแถบ สิงคโปร์ มาเลเซีย สมัยก่อนยุคที่ชาวจีนโล้สำเภานั่นแหละก็เกิดการผสมผสานกันของวัฒนธรรมการกินก็เลยเกิดอาหารแนวนี้ขึ้นมา เรียกว่าเป็นอาหารท้องถิ่นมาเลเซียที่มาถึงต้องชิมเป็นสิ่งแรก เก็ตป่ะ!batch_DSC00855
ถือว่าเป็นมื้อแรกในเกาะปีนังที่ดีงาม ยกน้ำชาจิบเบาๆ รออาหารbatch_DSC00864
Curry Prawns จะเรียกว่ากุ้งผัดผงกะหรี่ก็ไม่เชิงเพราะมาแบบน้ำแกงเข้มข้นเลยค่ะbatch_DSC00895
Nyonya Brinja มะเขือม่วงผัดโนนยา เมนูชื่อแปลกดี รสชาติก็เหมือนมะเขือผัดที่ไม่ได้ปรุงรสออกแล้วจืดๆ แล้วก็ราดเครื่องแกงลงไป
batch_DSC00896
Nasi Ulam ข้าวยำสมุนไพรแบบมาเลย์ ถ้ามีส้มโอหน่อยนะนี่เหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเราเลย รสชาติคล้ายๆ กันbatch_DSC00899
Tau Ewe Bak หมูสามช้ันต้มพะโล้ เราชอบเมนูนี้ที่สุดหมูนุ่มมาก ไม่หวานเกินไปกำลังดีกินกับข้าวยำอร่อย
batch_DSC00891
และยังมีอีกหลายเมนูในสำรับนี้ค่ะ โดยรวมอร่อยทุกอย่างทานได้หมด ไม่ค่อยต่างจากอาหารจีนบ้านเราเท่าไร
batch_DSC00902-2
หลังจากอิ่มมื้อเย็นที่ทานกันก่อนพระอาทิตย์จะตกดินซะอีก เดินออกมาหน้าร้านอาหารก็มีมุมฮิปๆ ให้ถ่ายรูปกันแล้วืร้านนี้เป็นร้านขายโปสการ์ดเก่าแก่ร้านหนึ่งเลยค่ะ ไม่ได้เข้าไปดูด้านในเพราะร้านใกล้จะปิดแล้วbatch_DSC00927
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นทริปที่เราจะไปตามหาภาพวาดบนผนังที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวปีนังซึ่งมีอยู่ด้วยกันเยอะมาก และภาพทั้งหมดนั้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ที่เดียว แต่กระจายตัวอยู่ทั่วจอร์จทาวน์ ภาพเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นในปี 2012 ฝีมือนาย เออร์เนสต์ ซาคาเรวิกนี้ (Ernest Zacharevic) ชาวลิธัวเนีย ซึ่งเขาได้วาดภาพ 8 ภาพ และยังมีนักวาดภาพคนอื่นๆ อีกด้วยในปีต่อๆ มาซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ และไฮไลต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มุ่งตรงมาที่จอร์จทาวน์

ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วัน 4 คืน ให้ความรู้สึกเหมือนนักล่าอาร์ซีที่ต้องเก็บแต้มให้ครบ
.
.
อะ ได้เวลาปฎิบัติการ เริ่ม!

และแล้วเราก็มาเจอรูปแรก ซึ่งอยู่ในซอยข้างๆ ร้านโปสการ์ดหรือตรงข้ามกับร้านอาหาร ภาพนี้ชื่อ Brother and Sister on a Swing นอกจากความดีใจที่ได้เจอภาพแล้วความสนุกอีกอย่างของการมาที่นี่คือการครีเอทท่าทางในการถ่ายรูปให้เข้ากับภาพนี่แหละ

จะนั่งเก้าอี้คู่กับน้องๆ
21
หรือมาเป็นคู่จับมือกันถ่ายแบบนี้เก๋ๆ ป่ะ แอร๊ยยยยเสียของนะคะแบบนี้อยากสลับตัวมาก
23
อีกภาพที่อยู่ติดกัน
batch_DSC00870
ข้ามฝั่งกลับมาทางนี้จะมีโรงแรมคอนเทนเนอร์โรงแรมเล็กๆ ราคาน่าจะไม่แพง batch_DSC00884
ในซอยข้างโรงแรมด้านซ้ายมือจะมีภาพเด็กเล่นบาส Children Playing Basketball ภาพนี้ก็เป็นภาพยุคแรกเลยค่ะbatch_DSC00910
ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอถือเป็นการประเดิมวันแรกที่ดีมากได้มา 3 ภาพแล้ว เดินทางเข้าเช็คอินที่พักคืนนี้กันค่ะ เราพักที่ Sunway Hotel อยู่บนถนน Lorong Baru ลงจากรถก็ตกใจนึกว่าตัวเองเป็นน้องน้ำตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ มีผู้บริหารโรงแรม พนักงาน มารอรับกันเต็มเลยbatch_DSC00931
เข้ามาด้านในก็รับ wellcome drink พร้อมกับดูโชว์สวยๆ
batch_DSC00938
ห้องพักของเราอยู่ชั้น 14 นอนคนเดียวเหงาๆ ห้องใหญ่กว้างขวางดีค่ะ ราคาห้องพักที่นี่เริ่มต้น 1,700 – 2,000 บาท ถือว่าราคาถูกเลยนะสำหรับโรงแรม 4 ดาว
batch_DSC00948
batch_DSC00951
batch_DSC00949
ได้ข่าวว่าตะกี้เพิ่งกินข้าวมาแต่พี่ร่วมทริปบอกว่าเราต้องไปเดินดูวิถีชีวิตผู้คนยามค่ำคืนนะยูจะเข้าห้องอาบน้ำนอนเลยไม่ได้ ก็จริงนะงั้นป่ะ ออกไปหาของอร่อยอารมณ์แบบโต้รุ่งบ้านเรากันค่ะ
batch_DSC00956
คือพูดเหมือนต้องไปไหนไกลจริงๆ คือเดินออกมาจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายก็เจอเลยค่ะขวามือสูงๆ คือโรงแรมที่เราพัก
batch_DSC00955
เอ๊ะนั่นเข้าคิวอะไรกันยาวเหยียดร้านนี้น่าจะทีเด็ดbatch_DSC00991
แอบไปส่องมันก็คล้ายๆ ผัดไทยแบบบ้านเราค่ะ ไม่เอาไม่กินอะไรง่ายๆ แบบนี้หรอก
batch_DSC00957
batch_DSC00960
ชวนกันเดินไปเรื่อยๆ แต่ก็เน้นที่แสงไฟเพียงพอ ต่อให้ปีนังไม่ค่อยมีข่าวเรื่องวิ่งราว ปล้นนักท่องเที่ยวแต่ก็ระวังไว้ดีกว่า เดินออกมาจากถนน Lorong Baru เลี้ยวซ้ายไปนิดก็เจออาคารเก่าแก่สวยดีนะตอนกลางคืนแบบนี้
batch_DSC00964
ผัดไทยตะกี้ธรรมดาไปมาถึงปีนังต้องกินทุเรียนสิคะ Food Truck ทุเรียนจ้าเท่สุด ใครเกลียดทุเรียนเข้าไส้มาปีนังคุณจะเจอทุกที่แบบตามหลอนเลยล่ะ ฮา แต่เราชอบมากกกก
batch_DSC00972
เดี๋ยว!! แกรรจะกินทุเรียนตอน 4 ทุ่มไม่ได้

ได้สิ!

เหมือนคนบ้าเถียงกับตัวเองราคาก็แอบแรงนะคือเราลองถามลูกที่เล็กที่สุดแล้วก็ยัง 500 กว่าบาท เงินก็ไม่ค่อยมีแต่อยากกินก็เลยขอซื้อที่ป้าคนขายแกะไว้แล้ว 1 พลู สนน.ราคาที่ 40 บาท สบายใจ
batch_DSC00968
เดินมาอีกฝั่งก็มีห้าง GAMA แต่ปิดแล้วก็พากันเดินกลับ
batch_DSC00979batch_DSC00989
จบวันแรกแบบฟินๆ อย่างแรกคือได้ถ่ายรูปอาร์ตๆ ไป 3 รูปแล้ว อย่างสองได้กินทุเรียนแล้ว ฝันดี..

DAY 2

morning call ที่เป็นเสียงอัดไว้พูดไม่หายใจเป็นสเต็ปยาวๆ โทรมาปลุกตอน 7 โมงเช้า ด้วยความเคยชินกับการตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นก็ตกใจ ตายแล้วๆ ไม่ทันแน่ๆ พอลุกมาเปิดม่าน ว้าววพระอาทิตย์สาดส่องมาจากทางนี้พอดีเลย ไม่ต้องแบกกล้องไปที่ไหนเลยค่ะ
batch_DSC00997
ตึกสูงๆ นั่นคือแลนมาร์คของเกาะปีนังชื่อตึก Komtar และด้านหน้าโน้นก็คือทะเล
batch_DSC00995
อาหารเช้ามี 2 ชั้น คือชั้น 14  และชั้นล็อบบี้ เดินมาชั้น 14 เงียบเหงาไม่มีคน ที่นั่งน้อย อาหารก็ไม่ได้หวือหวาอะไรค่ะแนวบุฟเฟต์
batch_DSC00998
พอกินอิ่มแล้วลงมารอสมาชิกที่ล็อบบี้ตกใจว้ายกรี๊ดดดมากคือภาพคนมาต่อคิวกินอาหารเช้า ไม่เคยเห็นที่โรงแรมไหนมาก่อนในชีวิต ก็เลยคุยกับพี่ร่วมทริปว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องมาจัด…

วันที่สองของเราไปเที่ยวไหนบ้างตามมา สถานที่แรกในวันนี้คือ Penang Hill ภาษามาเลย์ เรียกว่า บูกิต เบนดารา (Bukit Bemdara) การเดินทางไปปีนังฮิลล์สามารถนั่งรถเมล์สาย 201 (ออกทุก 15-30 นาที) และ 204 (ออกทุก 25-40 นาที) สามารถขึ้นได้ที่เลน 2 โดยสาย 204 นั้นไปสุดสายที่ปีนังฮิลล์เลยค่ะ ราคาประมาณคนละ 2 RM (ประมาณ 20 บาท) ถ้าขึ้นหน้าตึก Komtar จะสะดวกมากbatch_DSC01001
ไหนใครบอกอยู่ที่สูงอากาศจะดีแต่วันนี้ร้อนมาก

ปีนังฮิลล์ต้องซื้อตั๋วเข้าไปเที่ยวกัน ราคา 10 RM ส่วนราคา 30 RM คือราคา Fast Lane แบบไม่ต้องรอคิวขึ้นรถรางนานๆ คือถ้าคนไหนใจร้อนก็จ่าย 30 RM ไปเลยแต่ราคาก็แพงเอาการ แนะนำให้ไปวันธรรมดาดีกว่าจะได้ไม่ต้องต่อคิวนานๆ แถมยังไม่ต้องจ่ายเงิน 30 RM เพื่อซื้อเวลาด้วยbatch_DSC01011
ได้ตั๋วแล้วก็มาขึ้นรถรางทางนี้batch_DSC01013
ใครไม่กลัวความสูง ชอบความตื่นเต้นแนะนำให้นั่งด้านหน้าสุดเลยจะได้เห็นวิวแบบนี้
batch_DSC01112
ขึ้นมาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
batch_DSC01056
batch_DSC01082
ปีนังฮิลล์นั้นอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 830 เมตร และถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเกาะปีนังอีกด้วย ปัจจุบันปีนังฮิลล์ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองรวมไปถึงเกาะปีนังแบบกว้างไกลสุดสายตา นั่นจึงทำให้บริเวณนี้เป็นมุมดีที่สุดในการถ่ายภาพตัวเมืองจอร์จทาวน์ในยามค่ำคืนอีกด้วย batch_DSC01095batch_DSC01027
นอกจากวิวแล้วด้านบนของปีนังฮิลล์ ยังมีศาลานั่งเล่น พิพิธภัณฑ์นกฮูก ร้านอาหาร มัสยิด สนามเด็กเล่น วัดฮินดู สวนนก และ สวนดอกไม้
batch_DSC01038
batch_DSC01050-2
คล้องกุญแจแบบเกาหลีก็มีด้วยนะbatch_DSC01046batch_DSC01049batch_DSC01042batch_DSC01043
ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อนทำให้อยู่กันไม่นานค่ะ ขาลงแนะนำให้นั่งด้านหน้าเหมือนเดิมนี่นั่งใกล้สองหนุ่มตื่นเต้นอีกแล้ววววว
batch_DSC01102
batch_DSC01106
คนที่ชอบถ่ายรูปขาลงจะได้วิวเมืองที่สวยไปอีกแบบ
batch_DSC01121
ออกจากปีนังฮิลล์ประมาณ 11 โมง ไปเที่ยวกันต่อที่ Kek Lok Si Temple วัดเก็กลกสี่ คนไทยมักเรียกว่า วัดเขาเต่าปีนัง รู้จักกันในอีกชื่อหนี่งคือ Temple of Supreme Bliss เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นหนึ่งในวัดดังของปีนังด้วย การเดินขึ้นไปบนวัดจะผ่านร้านขายของแบบนี้ ช่วงที่ไปทางวัดมีการก่อสร้างบันไดทางขึ้นใหม่ทำให้รู้สึกว่าข้าวของจะเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะbatch_DSC01189
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึก
batch_DSC01188
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดแห่งนี้คือเจดีย์สมเด็จพระรามหก (เจดีย์พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์) ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1930batch_DSC01142-2
batch_DSC01150
batch_DSC01133
เข้าไปด้านในทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิตด้วยริบบิ้นแต่ละสีมีความหมายคนละแบบเป็นไอเดียที่ดีเลยถ้าไม่รู้จะหยิบสีไหนแนะนำสีส้มมีความหมายว่าขอให้สมหวังทุกสิ่ง จบครบในเส้นเดียว จ่ายคนละ 1 RM หยอดในกล่องค่ะ
batch_DSC01134
batch_DSC01137
batch_DSC01141
สมกับเป็นวัดไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริงๆ ค่ะ ตอนแรกนึกว่าจบแค่นี้ยังมีนั่งรถรางขึ้นไปข้างบนต่อคนละ 2 RM
batch_DSC01165
ด้านบนจะเป็นลานกว้างมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงใหญ่2 1
batch_DSC01177
สามารถชมวิวจากด้านบนนี้ก็สวยเหมือนกันค่ะ
batch_DSC01166
นอกจากนั้นยังมีบ่อเต่าที่นั่งพักเหนื่อยลมพัดเย็นสบายมุมนี้ได้อีกด้วยค่ะ ขากลับก็ใช้เส้นทางเดิมคือนั่งรถรางลงและเดินลงบันไดไปจนถึงลานจอดรถ
24
มื้อเที่ยงร้าน GEM เป็นร้านอาหารอินเดียแบบบุฟเฟต์เดินไปตักอาหารได้เลยด้วยความหิวอย่างหนักทุกคนเลยกรูไปตักอาหารไม่สามารถมีพื้นที่ให้ถ่ายรูปมาอวดได้ต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยนะ เครื่องดื่มเด่นๆ ของร้านอาหารที่นี่คือ น้ำมะม่วง ที่เป็นลักษณ์ของที่นี่ไปแล้วจะร้านอาหารแนวไหนมีหมด (ของชอบเราด้วยสิคะ) เข้มข้นมากหวานมันเชียว อาหารอินเดียมื้อนี้ประกอบไปด้วย แกงมาซาลาไก่หมักโยเกิร์ต  แกงมาซาลาไข่ต้ม แกงมันฝรั่ง หอมใหญ่ มะเขือเทศ และแกงปลา ในทริปโหวตกันว่าแกงปลาอร่อยสุด (เสียดายไม่มีภาพประกอบ)batch_DSC01196-2
อิ่มท้องไปเที่ยวกันต่อวันนี้ตารางค่อนข้างแน่นบอกแล้วว่าปีนังที่เที่ยวเยอะมาก
.
.
สายบุญต้องชอบ สายวัดต้องไปที่นี่ วัดไชยมังคลาราม ชื่อคุ้นหูเหมือนอยู่แถวอยุธยา
batch_DSC01250
วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทย ตั้งอยู่บนถนนพม่า เขตปูเลาติกุส รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงมานานบนเกาะปีนัง วัดไชยมังคลารามเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในปี พ.ศ. 2388 มีอายุกว่า 160 ปี batch_DSC01225
โดยภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย ยาว 108 ฟุต สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505 และทรงชมว่า “ปั้นได้ดีปั้นได้สวย” และวัดนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณรับผ้าพระกฐินพระราชทานจากพระองค์ท่านเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 batch_DSC01212
4
การทำบุญในวัดจะเป็นการถวายเทียนดอกไม้แบบนี้ค่ะ ราคาเริ่มต้น 10 RM
5
batch_DSC01217
ทำบุญเสร็จเดินออกมาหน้าวัดมีของดีของเด็ดนั่นก็คือ ไอศกรีมมะพร้าว คนขายพูดไทยได้ด้วย
3
ตรงข้ามกับวัดไชยมังคลาราม มีวัดพม่าตั้งอยู่ชื่อ Burmese Buddhist Temple หรือวัดธรรมิการาม เดินข้ามถนนไปได้เลยค่ะbatch_DSC01238
ด้านในอุโบสถมีพระประธานยืนแกะสลักด้วยหินอ่อนที่งดงามมาก
25
ออกจากวัดประมาณบ่าย 4 โมงเย็นแวะไปซื้อช็อกโกแลตของฝากขึ้นชื่อเมื่อไปเที่ยวมาเลเซีย ซึ่งร้านแบบนี้จะมีหลายร้านทั่วเกาะปีนังค่ะ
6
เดินเข้าไปนี่พนักงานทักทายเป็นภาษาไทยเลย เอาช็อกโกแลตมาให้ชิมทุกรส ทุกแบบ เอาจริงชิมจนไม่ไหว มีทั้งช็อกโกแลตนม เคลือบงา
batch_DSC01262
batch_DSC01261
ช็อกโกแลตทุเรียนก็มีด้วยนะ ราคาก็ตามป้ายก็ใช่ว่าจะถูกนะคะ
batch_DSC01264
กองนี้ลดราคาเยอะเลย ซื้อไปซื้อมาแต่ละคนหมดกับค่าช็อกโกแลตเป็นพัน
batch_DSC01263
ใครสายกาแฟร้านนี้อยู่ติดกันเลยbatch_DSC01267
ถัดมาอีกร้านติดๆ กันเป็นร้านเน้นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำผึ้งค่ะbatch_DSC01271
เที่ยวหลายที่ ซื้อของฝากหมดไปเยอะหาอะไรทานกันต่อดีกว่ามื้อเย็นเป็นอาหารซีฟู้ดริมทะเลชื่อร้าน Bali Hai
batch_DSC01291
บรรยากาศร้านเป็นแนวผสมผสานไทยนิดๆ จีนหน่อยๆ
batch_DSC01272
ซุ้มไม้ไผ่ก็มีนะเออ เห็นแบบนี้อยากส้มตำ ไก่ย่าง ขึ้นมาทันที
batch_DSC01290
ในส่วนของซีฟู้ดนั้นมีทุกแบบ
batch_DSC01274
สดทุกอย่าง อลังการทุกตัว
batch_DSC01278
batch_DSC01281
batch_DSC01280
ปลาทอด ด้านบนราดตะไคร้ทอดกับผักชีแซมด้วยพริกสด รสชาติก็แนวปลาทอดน้ำปลาทั่วไป
batch_DSC01302
ต้มยำรวมทะเล ที่หอยเด่นมากแซบนะเด็ดเลยล่ะ
batch_DSC01295
ปูผัดพริก ปูตัวใหญ่มากและกินยากด้วยมีความเลอะในเมนูนี้
batch_DSC01294
กุ้งทอดกระเทียม อร่อยมากเป็นอาหารที่เราชอบที่สุดในบรรดาทั้งหมดนี้ทอดกุ้งได้กรอบมากแบบกินได้ทั้งตัว และที่สำคัญคืออร่อยยันกระเทียม
batch_DSC01307
จบวันที่สองด้วยความเหนื่อยล้าเบาๆ จากที่ตั้งใจจะไปเดินเล่นยามราตรีเหมือนคืนแรกเป็นอันจบไปก็เลยเปลี่ยนแผนว่าจะไปว่ายน้ำ พอไปถึงสระยังไม่ปิดแต่ว่าสระค่อนข้างเล็กมากสรุปเข้าห้องนอนค่ะbatch_DSC01308

DAY 3

เช้านี้ได้รับ Morning Call เวลาเดิม แต่วันนี้เราจะไปลองมื้อเช้ากันที่ชั้นล็อบบี้พอไปถึงความวุ่นวายๆ ก็เกิดขึ้นมีการแย่งโต๊ะกันด้วยค่ะ สรุปไม่เวิร์กกินแบบไม่ได้อรรถรสจะมัวมานั่งละเลียดค่อยๆ กินมื้อเช้าไม่ได้เพราะมีสายตาอีกหลายสิบคู่ที่รอคิวอยู่ด้านหน้าแนวๆ แบบรีบๆ กินได้มั้ย หิวค่าาาbatch_DSC01314
ออกจากโรงแรม 9 โมง สถานที่แรกในวันนี้คือ Pinang Peranakan Mansion คฤหาสน์เปรานากันคืออาคารโออ่า ที่ได้รับการตกแต่งใหม่ให้บรรยากาศเก่าๆ ของชาวจีนในเขตช่องแคบของรัฐปีนัง หรือเรียกอีกอย่างว่า บาบ๋า-ย่าหยา (ที่ภูเก็ตก็มีนะคะ) ซึ่ง บาบ๋า ใช้เรียกชายที่เป็นลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซีย ส่วนย่าหยา ซึ่งหมายถึงหญิงลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซียbatch_DSC01379
27
อาคารแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่พักและสำนักงานของคาปิตัน ชุงเค็งกวี่ คนงานเหมืองและผู้นำองค์กรลับไห่ซานในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในคฤหาสน์มีโบราณวัตถุและของสะสมกว่า 1,000 ชิ้น บานประตูและหน้าต่างทำจากไม้แกะสลักแบบจีน ปูพื้นด้วยกระเบื้องแบบอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีงานหล่อเหล็กแบบสก็อตอีกด้วย
batch_DSC01317
แต่ละห้องจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจโดยจะมีไกด์คอยพาเที่ยวชมค่ะ
batch_DSC01388
batch_DSC01324
ห้องนี้คือห้องแต่งตัวจะมีชุดแบบโบราณให้เราได้ชมกันbatch_DSC01341
ห้องนี้จะเป็นห้องหอของบ่าวสาว
batch_DSC01349
เก้าอี้ตัวนี้คือ Love Chair เป็นเก้าอี้ดูตัวของหนุ่มสาวที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ตายๆ น้องทอยมองแบบนี้พี่ละลายแล้ววว
batch_DSC01361
ชั้นล่างจะมีห้องที่แสดงผลงานไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีแต่งงานทั้งของบ่าว-สาว
batch_DSC01336
รองเท้าที่เป็นงานแฮนด์เมดประณีต งดงาม สวยทุกคู่เลยค่ะ
26
batch_DSC01342
Pinang Peranakan Mansion เปิดบริการตั้งแต่ 09.30 – 17.00 น. ค่าเข้าชม 20 RM
.
.
ได้เวลาไป Photo Hunt กันแล้วที่จอร์จทาวน์ ย่านที่เต็มไปด้วยงานอาร์ตไปถึง 11 โมงกว่าๆ แดดเปรี้ยงๆ ร้อนๆ อีกแล้วแต่นักท่องเที่ยวก็เยอะพอสมควรเลยค่ะbatch_DSC01496
batch_DSC01556
ภาพแรกที่อยู่บริเวณต้นซอย Kids on Bicycle คนเยอะมากต้องเข้าแถวถ่ายรูป
batch_DSC01491
เดินไปตามถนนเส้นนี้เลยค่ะซ้ายขวาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีสเหมือนภูเก็ตบ้านเรา
batch_DSC01478
ถ้าไม่อยากเดินแนะนำให้เช่าจักรยาน จะปั่นเดี่ยว ปั่นคู่ ปั่นเป็นแก๊งมีให้เช่าทุกแบบ ส่วนเราขอเลือกเดินดีกว่าค่ะ
29
30
เดินไปเรื่อยๆ จะมองเห็นกำแพงสีม่วงด้านหน้าชื่อภาพ Teach You Speak Hokkien หนุ่มน้อยวัยใส ที่จะมาสอนเราพูดภาษาฮกเกี้ยน
batch_DSC01865
batch_DSC01429
เลี้ยวเข้าไปในซอยจะเจอภาพนี้
batch_DSC01444
แมวเหมียวตัวนี้ก็หลบมุมในซอยเหมือนกันต้องสังเกตุดีๆ บางคนอาจจะเดินเลยไป
batch_DSC01451
เดินวนไปวนมาก็รู้สึกว่าทำไมเจอภาพเดิมๆ ก็เลยเดินไปอีกซอยbatch_DSC01550
batch_DSC01456
I Can Help Catch Rats แมวอ้วนตัวใหญ่ที่ทาสแมวเจอแล้วก็กรี๊ดกร๊าดกัน
batch_DSC01500
Brother and Sister อยู่ใกล้ๆ กับแมวอ้วนbatch_DSC01540
ที่จอร์จทาวน์บนถนนสายนี้นอกจากจะมี Street Art แล้วยังมีร้านกาแฟเก๋ๆ ชิคๆ อยู่ตามซอกซอยเพียบแนะนำร้านนี้ 1950 ร้านที่ข้างนอกก็เหมือนอาคารเก่าๆ บางคนดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าคือคาเฟต์
batch_DSC01528
พอเข้าไปข้างในเซอร์ไพรส์มากกับบรรยากาศดิบๆ เท่ๆ แบบนี้ค่ะbatch_DSC01509
batch_DSC01511
ราคาเครื่องดื่ม ขนม ก็ไม่ได้แพงอะไรมาก กาแฟเย็นแก้วละประมาณ 70 บาท
batch_DSC01517
ขนมอร่อยแต่ชาเขียวที่เราสั่งมาติดหวานไปนิดนึง
batch_DSC01522
ร้านนี้แอร์เย็นฉ่ำ wifi เร็วมากเรียกว่าเดินเหนื่อยๆ แวะมาจิบกาแฟนั่งโหลดรูปอัพเฟซบุ๊กอวดเพื่อนได้สบายๆ
.
.
ดันไปกินของหวานก่อนลืมไปว่ามีนัดมื้อเที่ยงที่ร้าน  China House batch_DSC01596
ร้านอาหารจีนที่เก๋มาก มองจากข้างนอกก็แลดูเหมือนไม่มีอะไรพอเข้าไป อุต๊ะ! เต็มไปด้วยงานศิลปะbatch_DSC01568
ตัวร้านจะเป็นห้องแถวหนึ่งคูหาแต่ลึกมากมีกั้นเป็นห้องส่วนตัว
batch_DSC01594
เดินไปด้านในเรื่อยๆ ก็สร้างความประหลาดใจตลอดทาง
batch_DSC01575
ด้านในสุดมีสวนเล็กๆ หลุดไปอีกบรรยากาศเลยbatch_DSC01569batch_DSC01574
ชั้นสองเป็นส่วนของแกลอรี่และของที่ระลึก batch_DSC01580
batch_DSC01588
batch_DSC01592
ลูกค้าแน่นร้านส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ในส่วนของอาหารนั้นจะเน้นเป็นอาหารเซตแบบกล่อง เครื่องดื่มมีทุกแนว กาแฟ ชา และขนมที่เยอะมากเหมือนกัน (แต่ขนมไม่ค่อยอร่อย) พิกัดร้านอยู่ตรงข้ามกับ Cheah Kongsi เป็นพิพิธภัณฑ์ของตระกูล Kongsi ไม่ได้เข้าไปชมที่นี่นะคะbatch_DSC01597
อิ่มท้องหนังตาเริ่มหย่อนอย่าเพิ่งหลับไปเพราะเรากำลังจะไปช้อปปิ้งโดยจะได้ข้ามสะพานที่ยาวที่สุดในปีนังคือข้ามน้ำทะเล 13.5 กิโลเมตร เพื่อไปยังแผ่นดินใหญ่ซึ่งสะพานจะมี 2 แห่ง อันที่ยาวที่สุดในรูปเลยค่ะรูปนี้ถ่ายบนรถผ่านกระจกนะคะbatch_DSC01610batch_DSC01618
ชมวิวท้องทะเลไปสักครู่ว่าจะพักสายตาสักพักแต่ไม่นาทีก็ถึงที่หมาย Design Village เอ้าต์เลทแห่งใหม่ล่าสุดที่แรก และที่เดียวในปีนัง ยังถือเป็นเอ้าต์เลทที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียอีกด้วย โดยเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ เน้นคอนเซปต์เอ้าต์เลทสำหรับครอบครัวbatch_DSC016309
batch_DSC01646
ตามมาจะพาไปช้อปค่ะ ที่นี่มีร้านค้ากว่า 150 ร้าน
7
10batch_DSC01647batch_DSC01669batch_DSC01660batch_DSC01673batch_DSC01649batch_DSC01666
เดินทุกร้านส่องทุกแบรนด์ได้ความว่าถูกน่าช้อปมากที่สุดคือ adidas เพื่อนๆ ในทริปได้มาคนละคู่สองคู่ นาฬิกา และน้ำหอมนี่ราคาพอๆ กับมาเก๊า ฮ่องกง คือราคาดีงาม ส่วนสินค้าอื่นๆ ไม่ได้ลดเยอะมากค่ะ11
นอกจากร้านช้อปปิ้งก็ยังมีร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks และ The Coffee Bean & Tea Leaf ให้นั่งพักเหนื่อย ราคาพอๆ กับไทยค่ะ ส่วนเราขอไปส่อง Food Truck ฝั่งนี้มีร้านไก่ทอด ร้านเครื่องดื่มเย็นๆ ราคาเริ่มต้น 30-40 บาท มีที่นั่งคล้ายๆ ฟู้ดคอร์ต แอบเห็นคนมาเลนั่งเปิบข้าวด้วยมือกันด้วย
12
ออกจากเอ้าต์เลทประมาณ 5 โมงกว่าๆ อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาซะอย่างนั้นทำให้สถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยวรู้สึกเหี่ยวแห้งมากเพราะอะไรตามไปดู
.
.
เรากลับเข้าไปที่เกาะปีนังอีกครั้งเพื่อไปที่ตึก Komtar ตึกที่สูงที่สุดในปีนังและสูงอันดับ 6 ในมาเลเซีย
batch_DSC01706
จุดหมายในครั้งนี้ไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งแต่อย่างใด เราจะไปที่ The Top คือการขึ้นไปชมวิว 360 องศาbatch_DSC_9652
ราคาผู้ใหญ่ 118 RM หรือประมาณ เกือบคนละหนึ่งพันบาทราคาแอบแรงแต่คุ้มค่านะคะ
batch_DSC01713
เดินขึ้นไปในลิฟต์ที่มืดสนิทเมื่อลิฟต์กำลังขึ้นก็จะมีจอปรากฏเรื่องเล่าของการสร้างตึกนี้ พร้อมกับการสร้าง The Top จุดชมวิว 360 องศา ฟังเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นจนจบลิฟต์ก็มาถึงชั้น 65 พอดีค่ะ ถือเป็นการเปิดตัวที่เริ่ดอยู่นะ
batch_DSC01724
batch_DSC01738
ตรงกระจกก็จะมีคำอธิบายสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของเราว่าคืออะไร
batch_DSC01736
คล้ายๆ กับหลายเมืองที่มองลงผ่านกระจกใสแล้วเห็นรถวิ่งไป-มา ด้านล่าง แอบหวาดเสียวเล็กน้อยbatch_DSC01728
ขึ้นลิฟต์ไปต่อที่ชั้น 68 เรียกว่า Window of The Top มีบาร์อยู่ด้านบนbatch_DSC01740
ใครจะมานั่งชิลล์บนนี้ต้องจองโต๊ะล่วงหน้านะคะ
batch_DSC01743
ที่บอกตอนต้นว่าฝนไม่น่าตกเลยเพราะเหี่ยวเฉามาก (เราเคยจ่ายเงินแพงเพื่อขึ้นไปถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์บนตึกโมริอารมณ์แบบนี้เลยฝนตกเซ็งมาก) ไม่สามารถเดินไปยืนตรงกระจกนั้นได้เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยนะคะ
batch_DSC_9660
batch_DSC_9665
batch_DSC_9668
batch_DSC_9654
batch_DSC01765
เวลาที่สวยที่สุดสำหรับช่างภาพที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ landscape คือตอนเย็นช่วงพระอาทิตย์ตกจนถึงแสงทไวไลท์ที่นี่จะสวยมากๆ batch_DSC01769
เดินลงกันมาอย่างเซ็งๆ อารมณ์เหมือนจ่ายหลักพันแต่ได้ดูแค่หลักสิบ ไปทานมื้อค่ำกันดีกว่าที่ร้านอาหารจีนค่ะ batch_DSC01772
จบวันที่สามแบบปวดเมื่อยเล็กน้อยเนื่องจากเดินค่อนข้างเยอะตั้งแต่เช้ายันเย็น หลับสนิทเลยค่ะ

DAY 4

เช้านี้ Free Day ไม่มีเสียง morning call มากวนใจแล้วอยากจะตื่นเวลาไหนก็ได้ อยากจะไปเที่ยวที่ไหนต่อก็ได้แต่ต้องไปเองนะดีเลยค่ะเราชอบแบบนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป พิพิธภัณฑ์กล้องที่ถนน Jalan Muntri ค่าเข้าชมประมาณคนละ 20 RM แต่อีกใจก็ลังเลว่าเรายังเก็บภาพที่ Street Art ไม่ครบเลยมันควรจะไปอีกรอบนะ

สรุปก็จะกลับไปที่เดิมค่ะ ไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมก่อนไปก็ไปถามพนักงานที่ล็อบบี้ว่าราคาประมาณเท่าไร พนักงานบอก 15 RM ราคาไม่แพง (จริงๆ จะเดินไปก็ได้นะถ้ามีเวลา) แท็กซี่ที่นั่นไม่กดมิเตอร์นะคะ

ลุงแท็กซี่ท่าทางใจดีเห็นเรากับพี่อีกคนพูดกันภาษาไทยลุงก็ชวนคุยเลยจ้า
“คนไทยเหรอ” อ้าวลุงพูดไทยชัดเชียว
“ทำไมลุงพูดไทยได้คะเก่งจังชัดมาก” เราถามด้วยความตื่นเต้น
“ลุงเคยไปแถวบางขุนพรหมรู้จักมั้ย”
“นั่นแน่ ลุงมีแฟนอยู่ที่นั่นใช่มั้ย 55” ลุงไม่ตอบแต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

กำลังคุยกับลุงเพลินๆ แป๊บเดียวก็มาถึง
batch_DSC01777
แต่วันนี้กลับรู้สึกดีกว่าเมื่อวานเพราะตอนเช้าๆ บรรยากาศดีมาก นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเดินถ่ายรูปเพลินเลย
16
batch_DSC01789
17
ว่าจะเช่าจักรยานแต่ร้านนี้ยังไม่เปิด
batch_DSC01808
เดินเล่นไปสักพักเริ่มมีนักท่องเที่ยวปั่นกันแล้ว
19
รู้สึกดีใจที่กลับไปอีกรอบเพราะเราพลาดภาพอีกเยอะเลย
batch_DSC01812
มีภาพหนึ่งซึ่งอยากรู้มากว่าอยู่ที่ไหนเนื่องจากเพื่อนร่วมทริปทุกคนบอกหาไม่เจอนั่นก็คือรูปคุณลุงพายเรือ เราก็เอารูปไปเดินถามคนท้องถิ่นบอกว่าอยู่ที่ love lane
18
love lane อยู่ไหนหว่า เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เจอไฟแดงเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย โอ๊ยยงงค่า 55
14
แต่ก็ไม่ละความพยามยามเดินกันไปเรื่อยๆ ไม่ร้อนด้วยค่ะ อากาศดี๊ดี ใครที่อยากหาอาหารเช้าแบบท้องถิ่นให้ไปถนนเส้นนี้ร้านอาหารเพียบ
batch_DSC01822
เย่! เจอแล้ว love lane มันคือถนนเส้นนี้ที่มีโฮสเทลเก๋ๆ มีร้านกาแฟฮิปๆ เพียบ เป็นถนนที่นักท่องเที่ยวชอบมาพักกันค่ะ

batch_DSC01833
15
batch_DSC01841
เดินจนสุดให้เลี้ยวขวาจะเจอลุงแอบอยู่ตรงนี้ กรี๊ดดดดดีใจมากประหนึ่งหา RC ตัวสุดท้ายเจอ ร้องเสียงดังจนลุงคนปั่นจักรยานหันไปดูพวกแกกรี๊ดอะไรกัน 55batch_DSC01859
The Indian Boatman
batch_DSC01856

ประสบความสำเร็จกับลุงไปแล้วเดินไปตามหาภาพอื่นๆ กันต่อค่ะ ซึ่งเรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เดินไปที่จุดตัดระหว่างถนน Lebuh Armenian และ Lebuh Pantai จะมีภาพอีก 4 ภาพค่ะติดกันเลยbatch_DSC01875
Old Motorcycle batch_DSC01884
batch_DSC01906batch_DSC0189932
Boy On Chair หน้าร้านขนม Ming Xiang Tai ตรง Gat Lebuh Armenian 31 33นอกจากภาพวาดแล้วยังมีเหล็กดัดรูปการ์ตูน เป็นอีกชิ้นงานศิลปะของจอร์จทาวน์ ชิ้นงานทั้ง 52 ชิ้น ที่บอกเล่าเรื่องราวขำๆ และประวัติศาสตร์ของเมืองซึ่งถูกจับวางอยู่ตามมุมต่างๆของจอร์จทาวน์การจะตามหาให้ครบทุกชิ้นนั้นต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์แน่ๆ 22
หมดเวลาสำหรับ Photo Hunt ในวันนี้แล้วเรากลับไปเช็คเอ้าต์ที่โรงแรม ขากลับใช้บริการแท็กซี่เหมือนเดิมจริงๆ ราคาสามารถต่อรองได้
.
.
มื้อเที่ยงสุดท้ายก่อนกลับที่ปีนัง batch_DSC01936
D Dapor Restaurant ร้านอาหารมาเลอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านชาวประมง ชอบถนนย่านนี้มากมีความยุโรป นึกว่าเดินอยู่นิวยอร์ก (ถามว่าเคยไปเหรอตอบเลยว่าไม่ดูรูปเอา)
batch_DSC01931
batch_DSC01929
batch_DSC01922
ไข่เจียวกระเทียม อร่อยสุดในทั้งหมดนี้
batch_DSC01923
ผักโสภณผัดเห็ด ชื่อเมนูแบบนี้จริงๆ นะ มันก็คือผัดผักรวมนั่นแหละค่ะแต่เน้นเห็ดเป็นนางเอกของจาน
batch_DSC01924
กุ้งผัดเนย มันๆ ดีนะ ใครควบคุมน้ำหนักไม่แนะนำเลย
batch_DSC01927
สถานที่เที่ยวสุดท้ายในทริปนี้คือ หมู่บ้านชาวประมงbatch_DSC01939
มีร้านขายของสองข้างทางไปจนถึงท่าน้ำ
batch_DSC01941
batch_DSC01942
ร้านเด็ดที่หมู่บ้านชาวประมงคือร้านไอศกรีมทุเรียนชื่อร้าน Desert n’ smile
batch_DSC01978
เอแคลร์ก็มีนะทั้งไส้ทุเรียน และชาเขียวbatch_DSC01979
ไอศกรีมชาเขียวคืออร่อยมาก มีความหมอนทองหอมละมุนละไม
batch_DSC01975
ส่วนร้านอาหารที่หมู่บ้านชาวประมงเห็นคนเยอะๆ ก็ร้านบะหมี่ชามยักษ์ร้านนี้เลยค่ะ
batch_DSC01946
batch_DSC01968
batch_DSC01943
batch_DSC01962
สายถ่ายรูปไปเย็นๆ หรือเช้าๆ น่าจะดีกว่าเพราะกลางวันอย่างร้อนเลย20
ปีนังไปง่ายใช้เงินไม่กี่ตังค์เองนะ ไทยแอร์เอเชียบินตรง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – ปีนังวันละ 1 เที่ยวบิน ตั๋วราคาประมาณ 2,000 – 4,000 บาท (ช่วงโปรโมชั่นถูกมากๆ) ราคาที่พักก็หลักร้อย อาหารก็ไม่ได้แพง ใช้เงินประมาณ 5,000 – 6,000 บาทก็เอาอยู่ค่ะ

จบทริป 3 คืน 4 วัน กับภารกิจ Green Fan Club George Town Photo Hunt ขอบคุณ การท่องเที่ยวมาเลเซีย Greenwave 106.5 ที่จัดกิจกรรมให้เราไปสัมผัสเมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ อยากให้เพื่อนๆ ได้ไปสักครั้งแล้วจะหลงรักปีนังอย่างไม่ถูกตัว

#ปีนี้ปีนัง #mypenang #malaysiatrulyasia #แบกกล้องเที่ยว

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here