ไปเที่ยวจังหวัดน่านก็หลายครั้งค่ะแต่น่านตอนเหนือยังไม่เคยไปสักที บางคนมองเป็นแค่ทางผ่านเพราะไม่รู้มาก่อนว่าตอนเหนือของน่าน มีที่เที่ยวที่น่าสนใจด้วยหรอ ทริปนี้เจนกับพี่เติ้ล มีโอกาสได้มาที่ “ เชียงกลาง ” เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดน่าน และเป็นอำเภอที่มีพื้นที่เล็กที่สุดของจังหวัด

แสงทองรีสอร์ท เป็นรีสอร์ทแนวพักผ่อนเพื่อสุขภาพ มีกิจกรรมให้ได้สัมผัสถึงธรรมชาติ รีสอร์ทระดับพรีเมียมที่ไม่น่าเชื่อว่าเชียงกลางจะมีรีสอร์ทที่สวยงามท่ามกลางทุ่งนา ป่าเขา รายล้อมไปด้วยต้นไม้ทำให้ที่นี่ร่มรื่นเย็นสบายตลอดทั้งปี อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอและเดินทางสะดวกสบายมีบริการแท็กซี่รับส่งจากสนามบินด้วยค่ะ

ตัวอาคารในรีสอร์ทจะเป็นสไตล์ลอฟท์ผสมโมเดิร์น ทุกห้องจะเห็นวิวสวยๆ ของภูเขา ในฤดูทำนาก็จะมีต้นข้าวเขียวขจีสดชื่นสบายตา 

ห้องพักของแสงทองรีสอร์ท มีทั้งหมด 7 แบบ ได้แก่ Superior, Deluxe, Villa, Corner Room, The Loft, Junior Suite และGrand Suite

Superior Room
ราคาปกติ : 3,000 บาท  Walk In/Call In : 1,500 บาท

ตกแต่งอย่างลงตัวด้วยโทนสีสบายตา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมระเบียงห้องพักส่วนตัว ที่สามารถสัมผัสถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง และเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายที่แสนเหนื่อยล้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครันภายในห้องพักขนาดห้องพัก 20 ตารางเมตร ( พักได้ 2 ท่าน ) จำนวนห้อง 4 ห้องพัก

Corner Room
ราคาปกติ : 6,000 บาท Walk In/Call In : 2,500 บาท

พร้อมให้ได้สัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติ ด้วยห้องพักขนาดใหญ่ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ใช้โทนสี ขาว-ครีม ทำให้สบายตา และผ่อนคลายขนาดห้องพัก 40 ตารางเมตร ( พักได้ 2 ท่าน )  จำนวนห้อง 8 ห้องพัก
มีระเบียงยื่นออกไปยังทุ่งนากว้าง สามารถสัมผัสไออุ่นของแสงแดดยามเช้า
จากห้องพัก โซน Corner Room จะมองเห็นวิวทิวเขา และทุ่งนาที่เขียวขจีในหน้าฝนที่จะถึงนี้แต่ช่วงที่เราไปคือหน้าร้อนชาวบ้านเลยไม่ได้ปลูกข้าวแต่ปลูกดอกปอเทืองนี้แทนค่ะ

The Loft
ราคาปกติ : 7,000 บาท Walk In/Call In : 2,800 บาท

ตึกปูนเปลือย 2 ชั้น แบ่งแยกเป็นสัดส่วน ภายในมีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน พิเศษด้วยอ่างอาบน้ำระบบวน และอัดอากาศ เหมาะกับผู้เข้าพักที่ต้องการทั้งความผ่อนคลาย ขนาดห้องพัก 50 ตารางเมตร ( พักได้ 2 ท่าน ) จำนวนห้อง 8 ห้องพัก

มุมเครื่องดื่ม น้ำ ขนม ห้องน้ำโทนเทา ขาว ดำ โดดเด่นและแปลกตาด้วยพื้นไม้บริเวณสุขภัณฑ์อุปกรณ์ในห้องน้ำมีความโมเดิร์น โดยเฉพาะมุมที่สวยๆ ต้องชอบอย่างไดร์เป่าผมที่ติดอยู่กับผนัง ทำให้ใช้งานง่าย สะดวกสบายยิ่งขึ้นห้องสไตล์ Loft โดดเด่นที่ปูนเปลือยทำให้ห้องเย็นสบาย แต่ละห้องแตกต่างที่การตกแต่งเท่านั้น สำหรับใครที่ชอบโทนน้ำเงินเข้ม แนะนำห้องนี้เลยค่ะ

เฟอร์นิเจอร์เข้ามุมทำให้ห้องรู้สึกกว้างขวางขึ้น

มีมุมพักผ่อน จะนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือจะนอนหลับก็ได้สบายมากเลยค่ะ

Villa Room
ราคาปกติ : 5,000 บาท Walk In/Call In : 2,100 บาท

ที่พักแบบแยกเดี่ยว อยู่ท่ามกลางสวนสวย เต็มไปต้นไม้น้อยใหญ่ ให้ความรื่มรมย์ และรู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัว กลางธรรมชาติ ภายในตกแต่งเน้นสีขาวสบายตา พร้อมห้องน้ำแบบ Out Door ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย
ขนาดห้องพัก 26 ตารางเมตร ( พักได้ 2 ท่าน ) จำนวนห้อง 5 ห้องพัก

Grand Suite
ราคาปกติ : 12,000 บาท Walk In/Call In : 7,000 บาท

ภายในประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น สามารถรองรับผู้ที่ต้องการเข้าพัก ทั้งแบบครอบครัว, กลุ่มเพื่อน ที่ต้องการมาพักผ่อน และใช้เวลาอันแสนพิเศษร่วมกัน ขนาดห้องพัก 85 ตารางเมตร ( พักได้ 4 ท่าน ) จำนวน 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น


ในส่วนของมุมพักผ่อนก็มีโซฟานั่งสบายกับทีวีจอใหญ่มีห้องน้ำให้เลือกใช้ทั้งแบบ In Door ที่หรุหรา กว้างขวาง ชอบตรงอ่างล้างหน้าดีไซน์เก๋ดีค่ะนอกจากนั้นยังมีห้องน้ำ Out Door ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศธรรมชาติ อยู่ติดกับสระว่ายน้ำส่วนกลางของโรงแรมด้วยค่ะ

ห้อง Junior Suite

ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น สีสดใส มีเตียงขนาดใหญ่ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน สามารถมองเห็นสระว่ายน้ำได้ จากระเบียงด้านหน้า

ห้องน้ำแบบ out door กลมกลืนกับธรรมชาติ

บรรยากาศภายในรีสอร์ทมีสวนสวยๆ ต้นไม้นานาพันธุ์ค่ะโชคดีมากที่ไปช่วงดอกปอเทืองบานสะพรั่งพอดีเหมือนทำให้รู้สึกเหมือนได้นอนท่ามกลางทุ่งดอกไม้

หลังแสงสุดท้ายของวันจบลงอากาศเย็นสบายมากยิ่งขึ้นจนต้องคว้าเสื้อคลุมมาใส่สำหรับมื้อเย็นก็ไม่ต้องออกไปทานที่ไหนฝากท้องไว้ที่แสงทองทอเรซเลยค่ะมีมุมรับลมด้านนอกรับลมเย็นๆ

หรือจะนั่งฝั่งนี้ก็ได้เช่นกัน

อาหารของแสงทองเทอเรซจะเป็นอาหารแนวฟิวชั่นไทยยุโรป วัตถุดิบเลือกสรรจากฟาร์มแสงทองแนวเกษตรอินทีย์ ที่รับประกันถึงความสด ใหม่ ของวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร เมนูแนะนำ ได้แก่ หลนปูนิ่ม เนื้อปูแน่นๆ เสิร์ฟมาแบบเต็มๆ ชาม พร้อมผักสดเป็นเมนูที่อร่อยมากเลยค่ะสปาเก็ตตี้ทะเล มาครบทั้งอ่าวไทยขนมาไว้ที่เชียงกลาง มีกุ้งตัวใหญ่ หอย ปลาหมึก วางแน่นมาเต็มชามจนแทบจะมองไม่เห็นเส้นสปาเก็ตตี้พิซซ่าทะเล ก็มีด้วยนะคะแป้งบางกรอบหอมกรุ่นจากเตา ทานกัน 3-4 คนกำลังดีเลยค่ะ
ปลากะพงทอดน้ำปลา ทางร้านเลือกใช้ปลากะพงตัวใหญ่ ทอดกรอบทานคู่กับน้ำจิ้มสองแบบอร่อยลงตัว

มื้อนี้รู้สึกว่าทำงานหนักอีกแล้วอลังการเต็มโต๊ะพี่เติ้ลบอกคงต้องยอมอ้วนอีกสักวัน ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยลดเห็นของอร่อยยอมใจทุกทีเครื่องดื่มแนะนำน้ำผลไม้เย็นๆ หรือจะเป็นค็อกเทลก็น่าจะเข้ากับบรรยากาศ

เป็นค่ำคืนที่อิ่มมากและหลับไปอย่างมีความสุขกับเตียงนุ่มๆ

เช้าวันใหม่ในวันที่อากาศเย็นสบายในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าถ้าเป็นฤดูหนาวที่นี่คงหนาวจับใจมีหมอกให้เห็นคงสวยมาก

สำหรับกิจกรรมเมื่อมาพักที่แสงทองรีสอร์ทให้เราได้สัมผัสถึงธรรมชาติมีหลายกิจกรรมเลยค่ะ เช่น ตื่นเช้าไปปั่นจักรยานกลางทุ่งนา ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรก็นึกว่าปั่นจักรยานชมวิวภูเขาไปเรื่อยๆ แต่มันสวยกว่านั้นเยอะเลยค่ะ

ระยะทางลองคำนวณเล่นๆ ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร ได้เลยนะนั่น แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อยเมื่อเห็นวิวสองข้างทาง โดยเฉพาะวิวภูเขาสวยๆ ที่อยู่ด้านหน้า

ยกให้เป็นเส้นทางปั่นจักรยานที่สวยอีกแห่งที่เจนชอบเลยค่ะ มีทั้งสะพานสีรุ้ง ลำธาร และมุมนั่งพักผ่อน

ผ่านท้องทุ่ง ภูเขา แล้วก็มาโผล่ท่ามกลางตึกสีสันสดใส มีชีวิตชีวายิ้มให้ด้วยนะไปต่อที่ดงไผ่ รู้สึกว่าการปั่นจักรยานที่นี่ได้หลายบรรยากาศมากเลยค่ะ

ขอมาพักเหนื่อยแวะชมแปลงผักมีสะพานไม้ไผ่ให้เดินชมสวนด้วยมองวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาเชียงกลางสวยงามมากจากที่เสียเหงื่อกับการปั่นจักรยานไปเยอะรู้สึกหายเหนื่อยเลยค่ะแปลงผักจะมีหลายแบบทั้งผักออแกนิกส์

เดินเข้าไปในแปลงนี้ตื่นตาตื่นใจมากเลยเพราะนี่คือมะเขือเทศลูกดกเชียวค่ะ

ลูกใหญ่มากเลยค่ะ

บวบก็ยาวมาก อยากเก็บไปผัดไข่เลย

อดใจไม่ไหวผักงามมากขอเก็บไปทำสลัดสำหรับมื้อเช้ากันสักตะกร้าเดินไปดูแปลงข้างๆ เมลอนก็มีค่ะ ลูกใหญ่มาก

นอกจากผักแล้วยังมีผลไม้อีกหลายชนิดที่ปลูกไว้เพื่อจำหน่ายอีกด้วยค่ะ

หมดพลังหิวแล้วสิคะ เลยพากันปั่นกลับโรงแรมไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า

เมนูง่ายๆ แต่วิวแพงมากหลังอาหารเช้าวันนี้เรามีโปรแกรม และกิจกรรมแน่นมาก พี่หมีจะพาไปเที่ยวค่ะ

กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 325 แวะไปถ่ายรูปกันหน่อยที่นี่มีมุมฮิปๆ ด้วยนะ

นึกถึงละครลูกทุ่งสมัยก่อนเลยค่ะตอนเห็นรถคันนี้โรงงานยาสูบ สบกอน เชียงกลาง ภาพที่เห็นคือเป็นเตาเผาแบบสมัยโบราณแต่ปัจจุบันใช้เตาไฟฟ้าแทนกันแล้วบริเวณนี้คือสถานีบ่มใบยามนึกว่าเดินหลงมาอยู่ในอีกดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้และเตาเผา

เพียงแค่ดอกหญ้าธรรมดาดูเหมือนไม่มีราคา แต่เวลาอยู่รวมกันแบบนี้สวยงามจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลยค่ะ

เราไปเที่ยวกันต่อที่ วัดไทลื้อ “ วัดหนองแดง” (สถาปัตยกรรมไทลื้อ) อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 2 กิโลเมตร เป็นโบราณสถานเก่าแก่ของล้านนาไทย ก่อสร้างโดยช่างชาวไทลื้อ (แคว้นสิบสองปันนา) ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 200 ปี 

และร่วมฟังเรื่องราวความเป็นมาของวัดหนองแดง วัดไทลื้อ โดย อ.ท่านพระครู นักเล่าประวัติศาสตร์ พร้อมทำพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตาแบบประเพณีล้านนาให้เราอีกด้วย

ท่านพระครูยังพาไปดูการแปรรูปอาหารภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำ ข้าวแคบ การทำข้าวแคบ วัสดุอุปกรณ์ในการทำข้าวแคบในอดีตนั้นค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องเตรียม หม้อที่ใช้ในการทำข้าวแคบขึ้นมาโดยเฉพาะ ชาวล้านนาในชนบทที่ต้องทำข้าวแคบกันเองจึงมักจะรวมตัวกันในกลุ่มบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกันมาช่วยกันทำ ข้าวแคบนั้นสามารถเก็บได้นาน เมื่อจะกินก็ทำได้ทั้งผิงไฟ คือเอาไม้ไผ่แบนขนาดเล็ก ยาวประมาณหนึ่งศอกมาผ่าด้านใดด้านหนึ่งให้เป็นไม้คีบแล้วนำแผ่นข้าวแคบมาเสียบไว้ จากนั้นจึงนำไปอังบนเตาไฟสูงพอประมาณ แผ่นข้าวแคบก็จะเริ่มสุกและเปลี่ยนสีจากสีใสๆ ไปเป็นแผ่นข้าวแคบสีขาวหากผิงไฟนานไปก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หอม กรอบ อร่อยเลยค่ะ

ต้นนี้คือต้นเทียนพุทธเจ้า ไม้แปลกหายากหนึ่งเดียวที่ วัดหนองแดง ฝักที่แก่แล้วมีสีเหลือง ผิวนุ่มนิ่มคล้ายเทียน แถมมีกลิ่นหอมด้วยค่ะ“ต้นเทียนพระพุทธเจ้า” ต้นนี้จะมีใบเขียวขจี และฝักเหลืองเต็มต้นมากที่สุดในช่วงเข้าพรรษา คือช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว ส่วนในช่วงฤดูร้อนใบจะร่วงแต่ก็ยังมีฝักออกตลอด ซึ่งพุทธศาสนิกชนสามารถมาเยี่ยมชมได้ตลอดเวลา และภายในวัดนอกจากจะมีต้นเทียนพระพุทธเจ้าแล้วยังมีโบราณสถานที่ซ่อนปริศนาและคติธรรมต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันนอกจากนั้นยังมีพิธีเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตด้วยค่ะ

แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคงจะเป็น “ บ้านห้วยพ่าน ” เป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ธรรมชาติ ป่าไม้ และแหล่งน้ำ ซึ่งที่เป็นต้นแบบการจัดการท่องเที่ยวชุมชนแห่งแรกในจังหวัดน่าน โดยสนับสนุนให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาจัดการท่องเที่ยวเอง ใช้ความสวยงามตามธรรมชาติ ทางเข้าหมู่บ้านเป็นต้องขับรถผ่านแม่น้ำที่ยังคงเป็นสะพานไม้แบบนี้ค่ะมีแคร่ไม้ไผ่ให้นั่งชิลล์เอาขาจุ่มน้ำเย็นๆ น้ำใสมากเลยค่ะกิจกรรมในบ้านห้วยพ่านที่ห้ามพลาดคือ ล่องแม่น้ำน่าน เรียนรู้วิถีชีวิตคนลัวะและคนท้องถิ่น ความรู้สึกจากที่เราได้ไปสัมผัส รับรู้ถึงความเข้มแข็ง ความตั้งใจ ในด้านการจัดการของชาวบ้านเอง และมนต์เสน่ห์ของที่นี้คือ ความน่ารักเป็นกันเองของชาวบ้านค่ะปลาชุกชุมมาก

การล่องแพไม้ไผ่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เหมาะกับพาเพื่อนๆ มาสนุกกัน

จะพายเรือ นอนแช่น้ำ หรือนั่งชิลล์ๆ ก็ดีไปหมด

การได้อยู่กับธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์แบบไม่มีมลพิษมาเจือปนแบบนี้มีความสุขจังเลยค่ะ

ส่วนนี่ก็เป็นอาหารที่ชาวบ้านทำมาให้ชิมกันใส่ภาชนะแบบธรรมชาตินั่นก็คือกระบอกไม้ไผ่

เล่นน้ำ พักผ่อน นั่งคุยกับชาวบ้านจนได้เวลากลับโรงแรมแล้วค่ะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากให้เพื่อนๆ ไปเที่ยวกันเช้าอีกวันเราเดินทางกันต่อไปในเขตอำเภอทุ่งช้าง อำเภอที่อยู่ติดกับอำเภอเชียงกลางเพื่อไปที่ หมู่บ้านมณีพฤกษ์ -ดอยผาผึ้ง  หมู่บ้านมณีพฤกษ์ เดิมชื่อ บ้านฉ่งผ้า หรือ ฉ่งไผ่ เป็นชาวม้งอพยพมาจากเมืองจีน มาตั้งบ้านเรือนปักหลักทำอาชีพเกษตรกรรม

และแวะไปที่โรงเรียนบ้านมณีพฤกษ์ด้วยค่ะไปถึงที่นี้ตอนเด็กๆ กำลังจะเข้าแถวเคารพธงชาติกันพอดีเลย ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งประหนึ่งอยู่ญี่ปุ่นเลยค่ะ

ใครที่ได้ไปที่นี้อย่าลืมแวะทานกาแฟของน้องๆ เพื่อนเป็นกำลังใจ และกำลังเงินทุนสนับสนุนของน้องๆด้วยนะคะ ไม่ไกลจากโรงเรียนค่ะ

อากาศเย็นๆ ได้กาแฟอุ่นๆ สักแก้ว ชื่นใจ รสชาติดีทีเดียวค่ะเราไปเที่ยวกันต่อซึ่งนั่งรถมาประมาณ 5 นาทีก็ถึง ” ถ้ำผาผึ้ง “ จอดรถแล้วเดินตามป้ายไปประมาณ 200 เมตร ค่ะ

ถ้ำผาผึ้งสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,420 เมตร

ในสมัยก่อนถ้ำผาผึ้งแห่งนี้ ใช้เป็นที่หลบภัยของชาวบ้าน สามารถจุคนได้หลายร้อยคน บริเวณทางเข้านั้นเป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์มาก มีต้นเต่าร้างขึ้นอยู่ตลอดทาง ปากถ้ำผาผึ้งกว้างประมาณ 40 เมตร สูงประมาณ 20 เมตร ต้องเดินลงไปอีก 25 เมตรจึงถึงพื้นถ้ำการเดินลงไปก็ไม่ยากเท่าไรนะคะ ช่วงต้นของถ้ำจะเป็นโถงขนาดใหญ่มากสูงประมาณ 20 เมตร จะมีน้ำไหลย้อยลงมาจากเพดานถ้ำตลอด จนเกิดเป็นชั้นหิน มองดูเหมือนน้ำตก ไหลต่อลงไปเรื่อยๆและยังมีหินย้อยที่ยังสวยงามอยู่มากแสงสวยๆ ลอดลงมาในถ้ำยิ่งทำให้ถ้ำผาผึ้งดูยิ่งใหญ่ มีพลัง สวยงามมาก

ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว เดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิมค่ะ เป็นถนนดินแบบนี้ตลอดทาง ถ้าเป็นฤดูฝนอาจจะลำบากนิดหน่อยระหว่างมีเจอต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ ก็แวะถ่ายรูปกันบ้าง

วันที่จะต้องเดินทางกลับเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยที่สวยไม่แพ้ดอยไหนๆของน่านคือ “ดอยผาผึ้ง” ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านมณีพฤกษ์ อ.ทุ่งช้าง มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1600 เมตร เดินขึ้นไปไม่ยากค่ะ

ดอยผาผึ้ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ส่วนมากจะเป็นทุ่งหญ้าคา มีลักษณะเหมือนดอยภูแว ที่ดอยผาผึ้งนี้เป็นจุดชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังเห็นทัศนียภาพของสันดอยภูแวและดอยช่อได้

ดอยผาผึ้งเป็นป่าต้นน้ำลำธารผืนสุดท้ายของลำห้วยน้ำสระและลำห้วยฮูด และยังเคยเป็นดินแดนแห่งความหวานชื่นอย่างแสบทรวง เพราะเต็มไปด้วยน้ำผึ้งอันแสนหวานที่ผู้คนต่างก็หลั่งใหลมาดื่มกินกันมาเป็นเวลาช้านาน

วันที่เราไปอากาศไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไรค่ะ แต่ยังสามารถมองเห็นดอกเสี่ยวสีขาว นับร้อยๆ ต้น ทำให้ทิวเขาในบริเวณนั้นเป็นสีขาวเต็มไปหมด

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย จากเมืองใหญ่มาสัมผัสชีวิตแบบ Slow Life การมาพักที่ แสงทองรีสอร์ท รับรองว่าไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน ที่พักแสนสบายกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทั้งท้องนาป่าเขา ต้นไม้นานาพันธุ์ ฟาร์มผักอินทรีย์ที่ปลูกด้วยความใส่ใจ และพนักงานที่นี้น่ารักมากคะ อยากไปเที่ยวตามโปรแกรมที่เราไปนี้ สามารถแจ้งทางที่พักได้เลยนะคะ

แสงทองรีสอร์ท
ที่ตั้ง : เลขที่ 555, หมู่ที่5 ต.เชียงกลาง อ.เชียงกลาง จ.น่าน 55160
โทรศัพท์ : 083 707 0555
อีเมล : info@sangthongresort.com
Facebook : Sangthongresortnan
Website : www.sangthongresort.com

1 COMMENT

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here