เสียมเรียบ เมืองมรดกโลก ดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณ สถาปัตยกรรมงดงาม มากี่ครั้งก็ยังคงเหมือนเดิม รวมถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยังคงดำเนินไป สวนทางกับกาลเวลา
เรามุ่งหน้ากันไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อที่จะเดินทางไปเสียบเรียบด้วยสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส เวลายังเหลือเราไปนั่งเล่น(หาอะไรกิน) กันที่เล้าจ์ของสายการบิน ภายในเล้าจ์ของบางกอกแอร์เวย์สสะดวกสบาย ไวไฟก็มี ปลั๊กไฟก็มี แถมมีของกินเยอะมากไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง แซนวิส พาย เค้กช๊อคโกแลต เค้กมะตูม เครื่องดื่มต่าง ๆ และพลาดไม่ได้คือข้าวต้มมัดและขนมเทียน ของที่นี่เขาว่าเด็ดจริง ๆ เรียกว่าใครที่ยังไม่ได้กินอะไรมาแบบเรา ที่นี่คือสวรรค์ย่อม ๆ เลย ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว นั่งมองท้องฟ้าจากหน้าต่างเครื่องบินเพลิน ๆ พร้อมกับรอยยิ้มพนักงานต้อนรับสาวสวยในชุดขาวฟ้าของ บางกอกแอร์เวย์ส เพียงแค่ชั่วโมงนิด ๆ กัปตันก็พาเราแลนดิงสู่ สนามบินเสียมเรียบ อย่างนุ่มนวล
ตลอดสามวันสองคืนที่เสียมเรียบนั้นเรามาพักกันที่ Anantara Angkor Resort & Spa ซึ่งใช้เวลาจากสนามบินเพียงไม่กี่นาทีก็มาถึง แถมยังอยุ่ห่างจากปราสาทนครวัดแค่ไม่กี่อึดใจอีกด้วย ทันทีที่เมาถึงก็มีพนักงานมารอต้อนรับเรา มอบด้วยดอกบัวและเวลคั่มดริ้งค์เย็น ๆ ชื่นใจ เราเอากระเป๋าไปเก็บกันก่อน ห้องพักที่นี่กว้างขวางมาก ภายในก็ตกแต่งแบบสไตล์ร่วมสมัยแต่ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นกันพูชาอยู่ แถมที่นี่ยังใช้เฟอร์นิเจอร์ที่คัดสรรและจัดทำขึ้นโดยเฉพาะในสไตล์นครวัด แถมมีผลไม้ต้อนรับในห้อง ผ้าซัมปอต(เครื่องแต่งกายของชาวกัมพูชา) และโทรศัพท์ที่สามารถโทรออกได้ไว้ใช้ติดต่อในช่วงที่เราอยู่ที่นี่ หลงกับเพื่อนก็ไม่ต้องกลัวละโทรถามได้สบาย
ท้องเริ่มร้องซะแล้วตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา เก็บกระเป้าเสร็จก็รีบมาที่ห้องอาหารของโรงแรมเพื่อที่จะเติมพลังกันก่อน ห้องอาหารของที่นี่จะเสิร์ฟอาหารเขมรแบบร่วมสมัย โดยนำสูตรอาหารท้องถิ่นมาประยุกต์เป็นอาหารจานอร่อยได้อย่างลงตัว แถมโรงแรมยังมีเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพส์เล็ก ๆ ให้กับเพื่อนร่วมทริปเราอีกด้วย ใส่ใจผู้เข้าพักกันสุด ๆ เลย
ก่อนออกไปข้างนอกก็ขอสำรวจที่พักกันหน่อย บรรยากาศภายในโรงแรมเป็นธรรมชาติมาก ต้นลีลาวดีที่ปลูกอยู่เข้ากันกับดีไซน์ของโรงแรม สระว่ายน้ำที่นี่ก็ถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่าง ด้วยพื้นกระเบื้องหินขัดแต้มสีทอง มีที่นั่งอยู่ทุกด้านของสระ พร้อมกับอ่างน้ำวนให้ได้นั่งแช่นอนแช่ผ่อนคลายสุด ๆ แถมที่นี่ยังมีห้องบริการสปา ฟิตเนส และมีคลาสโยคะอีกด้วยนะ
เริ่มตะลุยที่แรกกันที่ อังกอร์ พาโนรามา มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ภาพวาดแห่งใหม่ที่เกาหลีเหนือก่อสร้างขึ้นในเสียมเรียบ ภายในมีภาพวาด 360 องศา เกี่ยวกับสงครามในช่วงศตวรรษที่ 11 จนถึงศตวรรษที่ 13 เป็นสมัยที่จักรวรรดิขแมร์ หรือยุคสมัยที่เขมรเรืองอำนาจ รวมทั้งแสดงภาพวาดการก่อสร้างนครวัด ในเสียมเรียบ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและกษัตริย์กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างนายคิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ กับ เจ้านโรดม สีหนุ อดีตกษัตริกัมพูชา ในยุคเขมรแดง นอกจากภาพวาดก็ยังมีโมเดลเมืองจำลองและงานศิลปะอีกมากมาย
มื้อเย็นวันนี้เรามากันที่ร้าน Malis Restaurant ร้านอาหารพื้นเมืองกัมพูชา แต่ไม่ได้มีแค่อาหารกัมพูชาอย่างเดียวแน่นอน บรรยากาศภายในร้านดูหรูหรา มีทั้งโซน Outdoor ที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้สีเขียวและบ่อน้ำเล็ก ๆ หรือจะเป็นโซน Indoor ที่ดูหรูหราด้วยการตกแต่ง และผ้าม่านผืนใหญ่ที่ทำให้ร้านดูมีเสน่ห์ เทียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็สร้างความโรมแมนติกขึ้นด้วย อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟเผลอแปปเดียวเต็มโต๊ะไปหมด แต่เผลอแปปเดียวก็ลงท้องเราไปหมดเช่นกัน 555 ของหวานของที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด นั่นก็คือครีมบูเล่ เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวนิลา หอมกลิ่นคาราเมลและวนิลาสุด ๆ
เรามาเดินย่อย(หาของกิน) กันก่อนเข้านอนที่ Pub Street ถนนคนเดินของเสียบเรียบ ที่นอกจากของฝากแล้วยังมีของกินมากมาย เมนูแปลก ๆ ก็มีไม่ว่าเป็น งูย่าง แมลงป่อง แมลงต่าง ๆ ถึงหิวแต่ขอผ่านดีกว่า รู้สึกอิ่มขึ้นมากะทันหัน เดิน ๆ ไปเจอเมนูที่คุ้นตาอย่างโรตี ที่นี่ก็มีขายนะเออ หรือจะผลไม้อย่างมะพร้าว หรือทุเรียนก็มี! ลองชิมทุเรียนสักนิด ทุเรียนบ้านเขาก็อร่อยนะ แต่บ้านเราจะหอมหวานกว่าเยอะ
ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะได้มาทานอาหารเช้าที่โรงแรมกัน ไลน์อาหารเช้าที่นี่มาตรฐานโรงแรมปกติ ที่จริงเกินมาตรฐานด้วยซ้ำด้วยไลน์อาหารที่มีเยอะมาก ชีส แฮม ขนมปัง แถมยังมีอาหารพื้นบ้านกัมพูชาอีกด้วย ตักวนกันไปกองทัพต้องเดินด้วยท้องตุนพลังไว้สำหรับการตะลุยกันในวันนี้
เริ่มการทัวร์กันที่ เมืองพระนครธม เมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สร้างขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 1โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่กว่า 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของนครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมาย และมีพื้นที่สำคัญอื่น ๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ จุดเด่นที่สุดของที่นี่คือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่น ๆ อีก 3 ด้าน
ไปต่อกันที่ ปราสาทตาพรหม ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นปราสาทที่ซ่อนความอลังการอยู่ในป่า มีต้นไม้ร่มครึ้ม เพราะเคยถูกทิ้งให้ร้างนานจนเถาวัลย์พันเกี่ยว และมีต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างต้นสะปง ออกรากปรกคลุมปราสาท ที่นี่สร้างขึ้นทีหลังปราสาทนครวัดอีกนะ แต่กลับมีสภาพชำรุดทรุดโทรมกว่ามาก เพราะความต่างของการนับถือศาสนาในช่วงนั้น ปราสาทตาพรมจึงไม่หลงเหลือศิลปะให้เราได้เห็นมากนัก แต่จุดเด่นคือรากไม้ที่ทำให้ปราสาทปรักหังพังแห่งนี้มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ดูคลาสสิกอีกด้วย แถมยังน่าตื่นตาตื่นใจกับภาพต้นไม้ใหญ่ขึ้นบนหลังคาสารท มันสวยงามมากจริง ๆ และยังบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของต้นไม้ของที่นี่ซึ่งมีอายุกว่าร้อยปี แถมยังเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่อง เช่น ทูมไรเดอร์ เจมส์บอนด์ อีกด้วย
ตะลุยปราสาทและอากาศร้อน ๆ ก็ขอหลบมาพักทานอาหารเที่ยงกันที่ร้าน FCC Angkor Bar & Restaurant ร้านอาหารและบาร์ แบบสบาย ๆ ดีไซน์ทันสมัย ในบรรยากาศเป็นกันเอง ตกแต่งภายในแบบ art deco อาคารของที่นี่มีอายุราวกว่า 40 ปี ซึ่งเคยเป็นสถานกงสุลฝรั่งเศสมาก่อน อาคารนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนจะเป็น open kitchen บาร์ และที่นั่งบนระเบียง ส่วนชั้นล่างก็ยังเป็นส่วนของร้านอาหารแบบ outdoor ตัวร้านเป็นแบบโอเพ่นแอร์ มีครัวเปิด และให้บริการอาหารตลอดทั้งวันจนดึก ตั้งแต่ อาหารเช้า เพสทรี อาหารทานเล่น อาหารกลางวันเพื่อสุขภาพ ว่า อาหารฟิวชั่นเขมร จนถึงอาหารเย็นแบบ full course เรียวว่าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เลย
สถานที่สุดท้ายในวันนี้ถ้าไม่ได้มาแสดงว่ายังมาไม่ถึงเสียบเรียบ นั่นก็คือ ปราสาทนครวัด สุดยอดแห่งความพิศวงของเทวลัยขอมนั่นเอง
ถูกสร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยปราสาทนครวัดใช้เวลาสร้างประมาณ 100 ปี และใช้ช่างแกะสลักลวดลายมากถึง 5,000 คน เวลาในการ ใช้เวลานานถึง 40 ปี ถึงจะเสร็จ ตัวปราสาทประกอบไปด้วยต้นเสาร์ 1,800 ต้น น้ำหนักต้นละ 10 ตัน ใช้แรงงานช้างมากถึง 40,000 เชือก ซึ่งทั้งคนและช้างจะต้องขนหินต่าง ๆ โดยการลากชักจูงมาจากเขาพนมกุเลนโดยมีระยะห่างมากถึง 50 กิโลเมตร เพื่อสร้างสารทนครวัดนครธมแห่งนี้ขึ้นมา และยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากสารทอื่น ๆ ที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกอีกด้วย ประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่สมกับสถานที่แห่งนี้จริง ๆ
เช้าวันสุดท้ายที่เสียมเรียบแล้วสินะ หลังจากที่เมื่อวานบ่นว่าร้อน วันนี้ฝนก็เลยตกซะเลย ถือว่าตกส่งท้ายก่อนที่เราจะกลับสินะ ทำให้เช้าวันนี้ดูอึมครึมหน่อย ๆ แต่บรรยากาศดีอากาศสดชื่นสุด ๆ นอกจากฝนจะตกทิ้งท้าย เราก็ขอกินมื้อสุดท้ายทิ้งท้ายนี่เสียมเรียบกันที่ห้องอาหารของ Anantara Angkor Resort & Spa ก็แล้วกัน ลากันไปด้วยอาหารท้องถิ่นเช่นเดิม กลับไปไทยก็คงหาอาหารกัมพูชาอร่อย ๆ ทานยากแล้วนี่นา เลยต้องกินชดเชยกันไว้ก่อน
มุ่งหน้าสู่สนามบินเสียมเรียบ พร้อมกลับบ้านเราโดย บางกอกแอร์เวย์ส เช่นเดียวกับตอน ยังไม่ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องก็ขอมาสำรวจเล้าจ์ที่นี่หน่อย มาตรฐานเหมือนกันทุกที่ แต่ของกินอาจจะน้อยกว่าที่สุวรรณภูมิหน่อยแต่ไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่ยังคงมีข้าวต้มมัดและขนมเทียนให้เราได้กินอยู่นั่นเอง
เสียมเรียบ ยังคงเป็นเมืองที่มีความมีเสน่ห์โบราณอันน่าพิศวงในประเทศกัมพูชาเสมอ การกลับมาเสียบเรียบในครั้งนี้ของเราต้องขอขอบคุณสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส ที่มีเส้นทางบินมาถึงที่นี่ทำให้การกลับมาเสียบเรียบของเรานั้นยังคงสะดวกสบายเช่นเคย และ Anantara Angkor Resort & Spa ที่พักแสนอบอุ่นและใส่ใจในทุกรายละเอียด สถานที่คอยชาร์จพลังให้กับเราในทุกวันจากการเดินเที่ยว ตากแดดร้อน ๆ กลับมาถึงที่นี่แล้วเหมือนได้ชาร์จร่างกายอีกรอบก่อนออกไปลุยร่างต่อ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนที่ทำให้ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจ ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอยู่ให้นานกว่านี้ แล้วเจอกันใหม่นะ เสียมเรียบ