สวัสดีจ้าเพื่อนๆ เมื่อต้นเดือนมิถุนาเราพึ่งกลับมาจากทริปใหญ่ที่ค่อนข้างจะใช้เวลาเดินทางหลายวันอยู่ ทั้งหมด 9 วัน ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ถือว่าเราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับการเดินทางของเรา เพราะทริปนี้เป็นการเดินทางแบบล่องเรือสำราญ ว้าววววว เคยดูภาพยนตร์เรื่องไททานิคมั้ยเรือสำราญแบบนั้นเลยหรูหราอลังการ

เรือที่เราจะเดินทางไปด้วยในครั้งนี้คือเรือ Sapphire Princess ของตระกูล Princess Cruises  และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหม่ล่าสุดคือไต้หวัน – ญี่ปุ่น โดยเรือจะแล่นและแวะเที่ยวเมืองต่างๆของญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 เมืองคือ คาโกจิม่า, ฮิโรชิม่า, โคจิ, เบ๊บปุ  โดยการเดินทางของเราต้องเริ่มที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นเราชาวไทยต้องเดินทางจากประเทศไทยเพื่อไปขึ้นเรือที่เมืองคีลุง ประเทศไต้หวัน ขากลับเรือจะล่องมาจากญี่ปุ่น – ไต้หวันและเราก็นั่งเครื่องจากไต้หวันกลับสู่ประเทศไทยของเรา

อย่างที่บอกว่าการเดินทางทริปล่องเรือของเราเริ่มต้นที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นวันแรกเราเดินทางไปที่ไทเป เราออกเดินทางตั้งแต่ไฟล์ทเช้า 8.35 ถึงไทเปก็ประมาณ 13.30 แต่ว่าวันนี้เราจะค้างที่ไทเป 1 คืนเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาได้เที่ยวไต้หวันได้อีกประมาณครึ่งวัน ออกจากสนามบินเราก็เดินทางไปยัง “อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของไต้หวันที่มาแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชมสถานที่นี้

“อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก”  สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชกซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อประเทศไต้หวันหรือจะเรียกว่าเป็นผู้สร้างประเทศไต้หวันขึ้นมาเลยก็ว่าได้

และเราก็โชคดีที่เดินทางมาถึงเวลาที่ทหารเปลี่ยนเวรพอดี ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่จะมีทุกๆชั่วโมงแต่เรามาพอดีก็เลยไม่ต้องรอนาน เป็นพิธีที่ดูแล้วมีความขลังทุกคนที่ยืนดูจะรักษาความสงบกันมากทุกอย่างเงียบมีแต่เสียงเท้าของทหารที่กำลังเดินเปลี่ยนกันอย่างเป็นระเบียบ

ออกจากอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกก็ไปต่อกันที่ Landmark ของไต้หวันที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างตึกไทเป 101 ตึกที่เคยสูงที่สุดในโลก แต่ตอนนี้มีคนล้มแชมป์ไปแล้ว เราโชคดีมากพอไปถึงตึกไทเป 101 ฝนก็ตกลงมาโปรยปราย T T จริงๆแล้วช่วงนี้เราไปเป็นช่วงที่ไต้หวันกำลังจะเข้าสู่หน้าฝนพอดี  เราก็เลยต้องรีบอพยพหลบฝนเข้าไปด้านใน

โชคดีที่ในตึกไทเป 101 มีศูนย์อาหารซึ่งอาหารที่นี่ก็น่ากินมากๆเลย ราคาไม่แพงแต่หน้าตาดูดีมากรสชาติก็ดีด้วย

อิ่มแล้วฝนก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุด วันนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่อแล้วก็คงต้องกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมเพื่อรอขึ้นเรือพรุ่งนี้เช้า โรงแรมที่เราพักในไทเปชื่อว่าโรงแรม Fullon Hotels & Resorts โรงแรมนี้จะอยู่ออกมาจากตัวเมืองนิดหน่อยแต่จะใกล้กับท่าเรือคีลุงที่เราจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือในวันพรุ่งนี้  ห้องพักที่นี่ดีค่ะ สะอาด ห้องก็กว้างดี

อรุณสวัสดิ์เช้าแล้วจ้าเตรียมตัวเดินทางสู่ท่าเรือคีลุง เพื่อขึ้นเรือ Sapphire Princess กันดีกว่า

จากโรงแรมเราถึงท่าเรือคีลุงประมาณ 11.00 น. นั่นไงเห็นเรือของเราหรือยังยิ่งใหญ่อลังการมั้ยละ

ผ่านสถานีรถไฟเมืองคีลุงเห็นเค้าวาดรูปบนผนังไว้ซะน่ารักเชียวเลยถ่ายรูปมาด้วยที่นี่เค้าใช้สโลแกนว่า cute keelung

พอมาถึงท่าเรือแล้วเราก็ต้องเตรียมตัวเช็คอินขึ้นเรือเราต้องเตรียม 1.พาสปอร์ต 2.ตั๋วเรือ 3.แบบสอบถามสุขภาพ(ไปรับที่ท่าเรือ) 4.บัตรเครดิต (ในกรณีที่ใช้เงินสดใช้จ่ายบนเรือก็ไม่ต้องเตรียมบัตรเครดิตค่ะ) ก่อนเข้าเช็คอินทางบริษัท Regale จะมีแท๊กสติ๊กเกอร์มาให้เราติดกระเป๋าไว้ก่อนเข้าเช็คอิน อันนี้สำคัญมากเพราะถ้าไม่ติดหรือถ้าหายไปเจ้าหน้าที่บนเรือก็จะไม่ทราบว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของใครจะต้องส่งไปที่ห้องไหน เพราะว่าก่อนเข้าเช็คอินเราจะต้องนำกระเป๋าของเราไปทิ้งไว้ให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นเรือซึ่งเราจะเจอกระเป๋าอีกทีก็อาจจะเย็นๆค่ำๆ ที่หน้าห้องพักของเราเลย เพราะฉะนั้นของใช้จำเป็นควรใส่กระเป๋าใบเล็กๆเอาไว้อีกหนึ่งใบ สำหรับติดตัวตลอด

เอากระเป๋าไปเก็บเรียบร้อยก็เดินตัวปลิวไปเข้าแถวรอเช็คอินได้เลยค่ะ สถานที่เช็คอินนี่ใหญ่โตเลยมีหลายช่องมากๆ ทีแรกคิดว่าจะเป็นโต๊ะเล็กๆแต่นี่เป็นเคาท์เตอร์จริงจังคงสร้างไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญโดยเฉพาะเลย และใน Terminal นี้ยังมี ตม. อยู่ในนี้ด้วยพอเสร็จขั้นตอนการเช็คอินก็จะเดินเข้าไปที่ตม. ด้านในเลย พอผ่านตม. ก็เป็นทางเดินเข้าสู่ตัวเรือทันทีขั้นตอนเหล่านี้รวดเร็วมากยังไม่ทันตั้งตัวอ้าวๆ นี่เราเข้ามาในเรือแล้วเหรอเนี่ย ^_^

หลังจากเดินมึนๆ ไหลๆ ตามขั้นตอนจนเข้ามาสู่ภายในตัวเรือเรียบร้อยขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากเช่นกันก็คือการเติมเงินเข้าสู่ Cruise Card เราสามารถเติมเงินได้ที่ Guess Services ชั้น 6 พอผ่านตม.เดินเข้าเรือมาก็เจอเลยค่ะ

บัตร Cruise Card นี้เจ้าหน้าที่จะให้เรามาตอนเช็คอินเสร็จเรียบร้อยการ์ดนี้สำคัญมากนะคะ เป็นเสมือนบัตรประชาชน บัตรเครดิตในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนเรือ เพราะว่าเวลาเราใช้จ่ายบนเรือเค้าไม่ใช้เงินสดกันเราจะใช้บัตรใบนี้สำหรับการจ่ายเงินสำหรับซื้อของหรือค่าบริการต่างๆ และยังเป็นบัตรที่ใช้เข้า – ออกเรือเวลาเราแวะเที่ยวเมืองต่างๆอีกด้วย สำคัญมั้ยละถ้าทำหายนี่วุ่นวายเลยทีเดียวส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวทุกคนจึงต้องมีสายห้อยคอสำหรับใส่บัตรพวกนี้เอาไว้แทบทุกคน

พอขึ้นเรือเสร็จก็ตามสบายเลยค่ะใครจะไปห้องก่อน ไปทานข้าว หรือเดินเล่นก็ได้เลยทุกคนเป็นอิสระแล้ว ส่วนเราต้องไปจัดการเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนเพราะว่าเราใช้จ่ายบนเรือด้วยเงินสดคือเติมเงิน 300 ดอลล่าใช้เท่าไหร่ก็หักเงินในบัตรไป

ก่อนจะออกเดินทางเรามาทำความรู้จักกับเรือลำนี้กันหน่อยดีกว่า เรือลำนี้ชื่อว่า Sapphire Princess

ขนาดระวางขับน้ำ: 116,000 ตัน ใหญ่เป็นอันดับที่สามในตระกูล Princess Cruises รองจาก Royal & Regal Princess  และ Majestic Princess

ความยาว 952 ฟุต / ความสูง 205 ฟุต / จำนวนชั้นบริการ 18 ชั้น / ห้องผู้โดยสาร: 1,337 ห้อง / สระว่ายน้ำจำนวน 3 สระ / บ่อนวดจำนวน 8 บ่อ / จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 2,678 คน

เส้นทางทริปนี้คือ ไทเป – คาโกชิม่า – ฮิโรชิม่า – โคจิ – เบ๊บปุ – ไทเป

ห้องที่เราพักคือห้อง Mini Suite with Balcony เป็นห้องพักที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นอนสบายไม่อึดอัด มีมุมสำหรับนั่งเล่นแยกกับเตียงนอนพร้อมระเบียง ภายในห้องมีทีวี 2 เครื่อง มีกาน้ำร้อน ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ สำหรับห้องพักบนเรือถือว่าห้องนี้สะดวกสบายมาก

สำรวจห้องเสร็จสักพักก็จะมีเสียงประกาศบนเรือให้เข้าร่วมขั้นตอนการสาธิตขั้นตอนความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินต่างๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้เพราะก่อนเข้าลูกเรือจะสแกนบัตรของเราเอาไว้ ว่าเราเข้ารับการร่วมกิจกรรมนี้แล้วส่วนใครที่ไม่เข้าร่วมอย่าคิดว่าจะลอยนวลไปได้ ฮ่าๆๆ เมื่อคุณเข้าสู่การขึ้นลงเรือเพื่อเที่ยวเมืองต่างๆอาจมีปัญหายุ่งยากเสียเวลาได้เพราะฉะนั้นควรเข้าร่วมกิจกรรมนี้

ฟังการสาธิตเสร็จแล้วท้องก็ร้องแล้วเราก็เลยไปทานอาหารกันที่ห้องอาหารที่ถือว่าเป็นห้องอาหารหลักของเรือลำนี้เลยก็ได้นั่นก็คือห้อง Horizon Court Buffet เป็นห้องที่เปิดบริการตั้งแต่ตีห้าจนถึงเที่ยงคืน ตลอดเวลา 6 วันเต็มบนเรือเราเลยกลายเป็นขาประจำของห้องอาหารนี้ไปเลย

ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น มื้อดึกซึ่งมีแทบทุกวันสำหรับมื้อดึกเนี่ย ก็สามารถมาทานที่นี่ได้ตลอด มีทั้งอาหารคาว ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยน มีอาหารจีนมานิดหน่อย ผลไม้ เบเกอรี่ ชา กาแฟ สามารถทานได้ตลอดเวลาเลยกลับมาแทบติดนิสัยเพราะอยู่บนเรือหิวเมื่อไหร่ก็เดินมาทานมีอาหารให้ทานตลอดเวลาเลย

สามารถนำอาหารออกมาทานชมวิวที่โซนระเบียงด้านหลังเรือได้ด้วยนะ ฟินสุดๆ

อิ่มแล้วไปเดินชมเรือกันดีกว่าเราออกจากห้องอาหารซึ่งอยู่ที่ชั้น 14  เดินออกมาตรงกลางของเรือจะมี Neptune Pool คือสระว่ายน้ำใหญ่ที่สุดบนเรือ มีจากุชชี่ อีก 2 สระ

และข้างๆสระ จะมี Prego Pizzeria มีพิซซ่าเปิดให้ทานกันตลอดวันตั้งแต่เวลา 11.00 – 23.00 เลย

Sundaes Ice Cream Bar มีไอศกรีมให้ทานกันตลอดเช่นกัน

Mermaid’s Tail Bar บาร์เครื่องดื่มทั้งค๊อกเทล น้ำผลไม้ ชา กาแฟ แต่ที่ Bar มีค่าบริการนะคะ

ขึ้นไปด้านบนจาก Neptune Pool เป็นชั้น 15 เป็นชั้นสำหรับชมภาพยนตร์มีจอขนาดใหญ่เรียกว่า Movies Under The Star ที่นี่จะฉายภาพยนตร์ใหม่ๆ คอนเสิร์ต สารคดีให้ชมกันทุกวัน ในส่วนนี้ถือว่าเป็นโซน Outdoor ที่ใหญ่ที่สุดของเรือและมี Tradewinds Bar ไว้บริการเครื่องดื่ม ถ้าหากไม่มีการแสดงสำคัญอะไรบนเรือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะมารวมตัวกันที่นี่แหละค่ะ

จากกลางเรือชั้น 14 เราเดินไปทางด้านหลังเรือเราก็จะเจอ Calypso Reef & Pool เป็นสระว่ายน้ำในร่มมีอ่างจากุชชี่และ Calypso Bar

มีบาร์ไว้ให้นั่งจิบริมสระด้วย

ชั้นสองของสระเรียกว่า Conservatory มีโต๊ะปิงปองไว้ให้เล่นด้วย

นอกจากสระว่ายน้ำสองจุดนี้ยังมีสระที่หัวเรือและท้ายเรือซึ่งสระที่ท้ายเรือจะอยู่ที่ชั้น 12 และ Splash Pool อยู่ที่ชั้น 15 ซึ่งส่วนตัวแล้วชอบสระตรงนี้มากที่สุดถึงจะเป็นสระขนาดเล็กแต่ที่นี่คนค่อนข้างน้อย และอยู่หลังเรือเพราะฉะนั้นลมจะไม่แรงสามารถเล่นน้ำได้แบบไม่หนาวมาก แถมวิวยังสวยมากอีกด้วย โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตกมาแช่นั่งแช่น้ำชมวิวพระอาทิตย์ตกตรงนี้เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ

ติดกับ Splash Pool ชั้น 15 จะมีส่วนที่เป็น Youth & Teen Centers จะเป็นห้องกิจกรรมสำหรับเด็กๆ แต่โซนนี้จะไม่อนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปด้านใน

ชั้นบนสุดของท้ายเรือจะมีสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้งด้วย

เดินมาตั้งนานวันนี้คงเดินสำรวจได้เท่านี้เพราะมืดแล้วท้องร้องได้เวลาทานอาหารเย็น ห้องอาหารบนเรือ Sapphire Princess มีทั้งหมด 11 ห้อง จะแบ่งเป็นหลักคือห้องแบบ Easy Eat ห้องอาหารแบบนี้เปิดเป็นเวลาถ้าจะทานต้องลงมาจองเร็วหน่อยมาช้ารอคิวนานแน่นอนค่ะแถวยาวกันทุกวันเลย ห้องอาหารแบบนี้ก็จะมีห้อง International Dining Room, Vivaldi Dining Room, Savoy Dining Room, Pacific Dining Room, Santa Fe Dining Room ห้องพวกนี้เมนูอาหารจะเหมือนกันทุกห้องแต่ว่าจะเปลี่ยนเมนูทุกวันและการตกแต่งห้องแต่ละห้องก็จะแตกต่างกันไปด้วย

มื้อเย็นวันแรกนี้เราเลือกทานกันที่ห้อง Savoy Dining Room

ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในวันแรกบางคนก็ยังงงเอ๊ะจะไปไหนดีมีกิจกรรมอะไร ที่ไหนบ้าง ไม่ต้องงงค่ะอย่าลืมว่าในห้องนอนของเราจะมี Patter หรือเรียกว่าหนังสือพิมพ์ของเรือก็ได้ในนั้นจะมีข่าวสาร สภาพอากาศ มีรายละเอียดกิจกรรมต่างๆตั้งแต่เช้าถึงค่ำหรือมีอีกวิธีคือลงทะเบียนเข้าใช้แอพของเรือถึงแม้ไม่มีอินเตอร์เน็ตก็เล่นได้ เราสามารถดูในมือถือของเราและตั้งเตือนกิจกรรมต่างๆได้ด้วย

มีอีกอย่างที่ค่อนข้างสำคัญนิดนึงสำหรับเราคือ Internet บนเรือค่าเล่น Internet เราจะต้องจ่ายเอง เราเลือกซื้อมาตั้งแต่ตอนจองแล้วเลือกแพ็คเกจถูกสุดเลยคือ 69 เหรียญแล้วก็ใช้เท่าที่จำเป็นเพราะว่าค่า Internet บนเรือราคาค่อนข้างแรงคงเป็นเพราะเค้าอยากให้เราได้วางมือถือพักจากโซเชียลแล้วพักผ่อนอย่างเต็มที่มั้ง ^_^

แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทันทีเราต้องไปลงทะเบียนที่ห้อง Internet Café ซึ่งจะอยู่ที่ชั้น 7 ของเรือการลงทะเบียนค่อนข้างงงแนะนำให้รอเจ้าหน้าที่มาให้เค้าทำให้จะดีกว่า

การลงทะเบียน Internet ก็เป็นอันเรียบร้อย ลืมบอกไปว่า เน็ตไม่สามารถแชร์ให้เพื่อนเล่นได้นะคะใช้ชื่อใครซื้อก็สามารถเล่นได้เครื่องนั้นเครื่องเดียวเลย กว่าจะเสร็จธุระก็ดึกแล้วเราก็เลยกลับไปพักผ่อน เพราะว่าพรุ่งนี้เรายังมีเวลาอยู่บนเรือกลางทะเลอีก 1 วันเต็มๆเลยก่อนที่จะถึงญี่ปุ่น

เช้าวันที่สองกลางท้องทะเลอากาศดีต่างจากไต้หวันเมื่อวานถือว่าเป็นโชคดีของเรา วันนี้มีเวลาเยอะเราก็เลยมีเวลาเดินเล่นบนเรือและทำกิจกรรมต่างๆ เราจะพาไปชมส่วนสำคัญของเรืออีกที่นึงนั่นก็คือโถงกลางเราเรียกตรงนี้ว่า The Piazza

ตรงนี้จะเป็นห้องโถงสูงทะลุกันถึง 3 ชั้น คือชั้น 5 – 7 ที่โถงนี้จะมีการแสดงเกือบตลอดเวลาให้ดูใน Patter ได้เลยว่ามีการแสดงอะไรเวลาไหนบ้างแต่แนะนำว่าถ้าอยากนั่งดูด้านหน้าให้มาก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมงไม่งั้นอดแน่นอน

เรียกได้ว่าตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของเรือ บริเวณนี้ชั้น 5 ก็จะมี International Café เป็นคาเฟ่เล็กๆสำหรับบริการของว่างซึ่งสามารถทานได้ 24 ชั่วโมงเลยคือดีมาก จะมีเค้ก ซุป ผลไม้ ชา กาแฟ

และยังมีห้องอาหาร Alfredo’s Pizzeria เป็นห้องอาหารที่เสิร์ฟพิซซ่าโดยเฉพาะจะเสิร์ฟถาดต่อถาดบางคนสั่งคนละถาดเลยเราสองคน 1 ถาดก็อิ่มกันแล้ว

โซนนี้ยังมี Art Gallery และ Vines Bar

ขึ้นมาชั้น 6 และชั้น 7 ตรงโซนโถงกลางจะเป็นโซน Shopping มีแบรนด์ชั้นนำต่างๆมากมายและสินค้าปลอดภาษีด้วย และบางวันจะมีสินค้ามาจัดโปรโมชั่นลดราคาอีกตั้งหาก

ออกจากโซนนี้ดีกว่าก่อนเงินจะหมด ฮ่าๆๆ ขึ้นไปชั้น 15 ทางหัวเรือจะมี Spa และ Fitness  ในสปานอกจากจะมีห้องซาวน่า และบริการนวดต่างๆยังมี Salon ด้วย ที่นี่ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพให้คำปรึกษาด้านต่างๆด้วย

ในส่วนของ Fitness นอกจากเครื่องออกกำลังกายแล้ว ยังมีคลาสต่างๆในแต่ละวัน เช่นโยคะ การบริหารสุขภาพเท้า และคลาสอื่นๆ สามารถดูใน Patter ได้เลยว่าแต่ละมีคลาสอะไรบ้าง

เดินออกมาด้านข้างของ Spa และ Fitness จะมีจากุชชี่และสระเล็กๆแต่มีความพิเศษคือจะมีเครื่องปล่อยคลื่นน้ำออกมาเวลาเราว่ายจะเหมือนกับปลาแซลมอนกำลังว่ายทวนน้ำอย่างนั้นเลย สระว่ายน้ำตรงนี้ก็ค่อนข้างจะคนน้อยดีใครชอบแบบเงียบก็มาว่ายน้ำแช่น้ำเล่นที่นี่ได้

ด้านบนของ Spa ชั้น 16 มี The Sanctuary เป็นโซนสำหรับผู้ใหญ่คือห้ามเด็กๆเข้า จะเป็นโซนที่ค่อนข้างสงบไม่วุ่นวายแต่ว่าที่นี่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เดินไปเดินมาก็แทบจะหมดวันแล้ว คืนนี้เป็นค่ำคืนพิเศษที่กัปตันจะมาเปิดแชมเปญเพื่อต้อนรับทุกคนบนเรือและมีการแนะนำกัปตัน เชฟ และผู้บริหารฝ่ายต่างๆบนเรืออีกด้วย งานคืนนี้ถือเป็นงานสำคัญของเรือและในวันนี้การแต่งกายจะเป็นชุดแบบทางการหน่อยใครมีชุดสวยชุดหล่อเตรียมไปคืนนี้ได้ใส่แน่นอนเพราะนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปรินแชมเปญและถ่ายรูปร่วมกับกัปตันได้อีกด้วย

หมดไปอีกคืนนี่ขนาดแค่สองวันยังมีเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อนอ่านได้มากขนาดนี้ อย่าพึ่งไปไหนยังมีเหลืออีก 5 วัน เต็มๆ แต่เราจะพาลงเรือไปเที่ยวบนฝั่งกันบ้าง

……………………………………………….

ตั้งนาฬิกาปลุก 5.30 น. พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ตกใจ เอ้ย!!! นี่นาฬิกาไม่ปลุกเหรอทำไมฟ้าสว่างแบบนี้เราตื่นสายแน่ๆแล้ว แต่พอคว้ามือถือมาดูเวลาก็ถูกนินี่ยังไม่ถึงเวลาปลุกด้วยซ้ำ แต่ท้องฟ้าสว่างหมดแล้วจ้ากะว่าจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ยามเช้าสักหน่อย ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าเราได้เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นแล้วที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นเช้ามากบางวันตีสี่กว่าพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นแล้ว ไหนๆก็ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันแล้ว…….งั้นขอนอนต่อแล้วกัน แหะๆ ^_^

7.00 น. เรือของเรามาถึงเมืองคาโกชิม่าประเทศญี่ปุ่นแล้ววววว เราจะได้ลงจากเรือกันบ้าง การเที่ยวบนฝั่งสามารถซื้อทัวร์จากบนเรือก็ได้หรือว่าจะเดินทางเองก็ได้ ใครจะจัดการเรื่องซื้อทัวร์หรือสั่งซื้อมาแล้วก็มาทำเรื่องที่ห้อง Shore Excursions เช่นกัน ห้องนี้อยู่ที่ชั้น 7 ของเรือ และสำหรับคนที่จะเดินทางเที่ยวเองสามารถใช้ Shuttle Bus ของทางเรือหรือนั่งรถแท็กซี่ก็ได้ซึ่งท่าเรือแต่ละที่ก็จะมีแท๊กซี่มารอรับนักท่องเที่ยวอยู่แทบทุกเมือง

สำหรับคนที่จะซื้อทัวร์กับทางเรือต้องกรอกใบพวกนี้แล้วยื่นก่อน 1 วันที่จะลงไปเที่ยวนะคะ

อ้อ!!! อันนี้สำคัญมากลืมบอกไปว่าก่อนที่เมืองแรกที่เราจะลงต้องมีขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศนั้นๆด้วย เพราะฉะนั้นในเมืองแรกนี้เราก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้เช่นกัน ทีแรกคิดว่าจะยุ่งยาก แต่ไม่เลยทางเรือจะมีรายละเอียดลงไว้ใน Patter ให้อยู่แล้ว เพียงแค่ตอนเช้าไปเจอที่ห้องที่ทางเรือนัดจาดนั้นกรอกเอกสารส่งให้เจ้าหน้าที่แล้วก็เดินๆไหลๆผ่านขั้นตอนต่างๆไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ออกมานอกเรือแล้ว ^_^

ออกมาเสร็จเราก็มองหาจุดขึ้นรถ Shuttle Bus แต่ละเมืองจะมีวิธีการจัดการแตกต่างกัน ที่คาโกชิม่ารถ Shuttle Bus จะส่งที่จุดเดียวบางเมืองจะมีจุดรับ – ส่งหลายจุด แต่ส่วนใหญ่จะไปส่งที่สถานีรถไฟเพื่อให้เราเดินทางต่อไปที่ต่างๆได้สะดวก

และสิ่งสำคัญอีกอย่างนึงอย่าลืมดูเวลาขึ้นรถขากลับรอบสุดท้ายด้วยถ้ามาช้ากลับไปขึ้นเรือไม่ทันอันนี้เรือจะไม่รอเราแน่นอนเพราะฉะนั้นจะไปเที่ยวที่ไหนควรวางแผนเรื่องเวลาให้ดี

เมืองคาโกชิม่ามีสัญลักษณ์ที่สำคัญก็คือ Sakurajima ตอนแรกเห็นชื่อคิดในใจต้องเป็นที่ดูดอกไม้แน่ๆ แต่ที่ไหนได้มันคือชื่อของภูเขาไฟ และยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับอีกด้วย หลังจากลง Shuttle Bus เราเดินไปที่ Doiphin Port ตรงนี้เป็นท่าเรือข้ามฝากไป Sakurajima และที่นี่ยังมองเห็นภูเขาไฟ Sakurajima ได้ชัดเจนอีกด้วย

ที่ Doiphin Port มีบ่อน้ำร้อนไว้ให้นั่งแช่เท้ากันฟรีๆด้วย

หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไป Tenmonkan Shopping Street แต่ยังเช้าอยู่ร้านค้าก็ยังไม่เปิดแต่เราอยู่ตรงนี้สักพักเพราะว่า…….ในตลาดมี wifi แรงซะด้วย 55555 ขอเล่นเน็ตติดต่อคนทางบ้านหน่อย

เจอหมีแพนด้าที่ญี่ปุ่นด้วย อิอิ

ออกจากตลาดเราก็เดินกันต่อ อากาศในช่วงที่ไปเย็นสบายๆไม่ร้อนเราเลยเดินกันได้สบายๆ เราเดินไปที่พิพิธภัณฑ์และศาลเจ้าเทรุคุนิ ระหว่างทางเจอรูปปั้น Last Samurai ใครเคยดูหนังเรื่องนี้บ้างพวกเค้ามีตัวตนจริงๆนะ

เห็นเสาแบบนี้แสดงว่าไกลถึงศาลเจ้าแล้ว

ก่อนทางเข้าศาลเจ้ามีพิพิธภัณฑ์เทรุคุนิที่แสดงประวัติความเป็นมาของตระกูลชิมาซุเป็นตระกูลเก่าแก่ของที่นี่

ถึงแล้วศาลเจ้าเทรุคุนิ สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1863

จากศาลเจ้าเราก็เดินตามถนนไปเรื่อยโดยอาศัย Google Map ถึงแม้ว่าเราไม่มีอินเตอร์เน็ตแต่ก็สามารถใช้แบบ Offline เพื่อระบุตำแหน่งเราได้ ก็เลยสามารถใช้แทนแผนที่แบบกระดาษได้ดีเหมือนกัน ระหว่างทางก็มีร้านเล็กๆน่ารักก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ

เดินไปเรื่อยๆจนเจออนุสาวรีย์ไซโกะ ทาคาโมริ หลายคนคงสงสัยว่าท่านนี้เป็นใคร เคยได้ยินคำว่า The last true samurai ที่เคยถูกนำมาสร้างภาพยนตร์ในชื่อ The last samurai ท่านไซโกะหัวหน้าซามูไรแห่งแคว้นซัตสึมะ หนึ่งในผู้นำแห่งยุคสมัยการปฎิรูปเมจิ และยังเป็นซามูไร “ที่แท้จริง” คนสุดท้าย ที่ขอยอมตายเพื่อเป็นรากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินอาทิตย์อุทัย หลังจากที่ได้ปิดประเทศไปเป็นเวลาเกือบ 200 ปี รู้ประวัติของท่านแล้วขนลุกและนับถือในความเสียสละของคนในยุคนั้นจริงๆ

จริงๆเมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่เลย แต่ว่าวันนี้เวลาก็ค่อนข้างจำกัดเราต้องกลับขึ้นเรือให้ทันเวลาเพราะเวลาส่วนใหญ่เราใช้เดินและหาที่แลกเงินแต่ก็ไม่มีเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ธนาคารที่นี่ปิดหมดเลย T T วันนี้เลยไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาทถือเป็นเรื่องดีไปแล้วกันเน๊าะ ฮ่าๆๆ  คือที่จริงแล้วเนี่ยเราสามารถแลกเงินที่ท่าเรือได้แต่เมื่อเช้าเราออกมาเช้าไปหน่อย Exchange ที่ท่าเรือยังไม่เปิด T T ทางที่ดีแลกไปจากเมืองไทยเลยจะดีกว่า

เรากลับมาถึงท่าเรือแล้วยังพอมีเวลาเหลือที่ท่าเรือเมืองคาโกชิม่ามีสวนสาธารณะริมน้ำWaterfront Park เห็นชาวเมืองมาเล่นกีฬากันเยอะอยู่เหมือนกันส่วนใหญ่จะมาเล่นเบสบอลและวิ่ง ที่จริงตรงที่เรือเป็นจุดที่ชม Sakurajima ได้สวยงามเหมือนกันนะเนี่ย เราเลยเดินไปถ่ายรูปเล่นก่อนกลับขึ้นเรือ

วันนี้เรือจะออกจากท่าเรือเมืองคาโกชิม่าเวลา 16.00 น. พอใกล้จะถึงเวลาเราเห็นมีวงดนตรีของเด็กนักเรียนมาตั้ง ทีแรกก็คิดว่าเค้าอาจจะมีดนตรีในสวนอะไรกันประมาณนั้น แต่พอใกล้ถึงเวลาเรือ นักเรียนเริ่มเล่นดนตรีมีชาวเมืองมายืนโบกมือบ๊ายบายพร้อมตะโดน Bye Bye เสียงดังขึ้นมาถึงบนเรือนักท่องเที่ยวบนเรือก็โบกมือและตะโกน Bye Bye กลับไปเหมือนกัน เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ  เสียงตะโกนของเด็กคนนึงยังคงตะโกนลาพวกเราจนเรือไปไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงของเค้าแล้ว

เรือออกจากท่าสักพักก็ได้เวลาอาหารเย็นอีกแล้วเราก็เลยรีบไปจองห้องอาหาร International Dining Room

ทานอาหารเสร็จเราไปเดินเล่นที่ระเบียงที่ชั้น 7 พอดีกับช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี นอกจากดาดฟ้าแล้วตรงนี้ก็สามารถมานั่งชมวิวตรงนี้ได้เหมือนกัน

เดินทางเข้าสู่วันที่ 2 ในประเทศญี่ปุ่น วันนี้เรือเทียบท่าทีเมืองฮิโรชิม่า เมืองนี้หลายคนอาจคุ้มหูกันบ้างเพราะมีประวัติศาสตร์ที่สำคัญคือเป็นเมืองที่โดนระเบิดนิวเคลียร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจนราบไปทั้งเมือง ที่นี่จึงมีพิพิธภัณฑ์เรื่องราวของสมัยสงครามไว้มากมาย แต่ว่าวันนี้เราไม่ได้ไปชมพิพิธภัณฑ์เหล่านั้น อย่างที่บอกเวลาเรามีจำกัดเราต้องเลือกถ้าไปหมดคงตกเรือแน่นอน

สถานที่ที่เราจะไปออกจะมุ้งมิ้งต่างจากประวัติศาสตร์อันน่ากลัวอยู่หน่อยๆ ที่นั่นก็คือเกาะ มิยาจิม่า การเดินทางเรานั่งรถ Shuttle Bus จากท่าเรือมาลงที่สถานีจากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่สถานีราคา 170 เยน ไปลงที่ท่าเรือ Ferry เพื่อข้ามไปยังเกาะมิยาจิม่า

ถึงท่าเรือแล้วใช้เวลานั่งเรือประมาณ 25 นาที ค่าเรือไป – กลับ 360 เยน

เกาะแห่งนี้ถูกเรียกว่าเป็นเกาะของเทพเจ้า เพราะในสมัยก่อนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่บนเกาะนี้เลยยกเว้นกวางซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่ส่งสารจากเทพเจ้าจึงสามารถอยู่บนเกาะนี้ได้ ในปัจจุบันความเชื่อนี้ก็ได้จางหายไปแล้วแต่ว่ากวางยังคงอยู่บนเกาะนี้มากมายใครมาที่นี่ต้องเจอแน่นอน ตอนแรกที่เราขึ้นเกาะมิยาจิม่าเราเห็นกวางนอนอยู่ในคอกมีรั้วแต่ว่าไม่ได้ปิดประตู เรายังคิดว่าเอ…กวางมันไม่หนีเหรอ แต่พอเดินไปอีกเรื่อยๆเข้าใจเลยจ้า ที่นี่กวางเค้าเป็นเจ้าถิ่นอยากจะเดินตรงไหนก็ได้ใครไม่เกี่ยวก็ถอยไป จะเดินเข้าร้านอาหารแบบเจ้าตัวนี้ก็ยังทำได้ ฮ่าๆๆ

แต่ขอเตือนว่าอาหารในมือของท่านมันก็คืออาหารของกวางน้อยน่ารักเหล่านี้ด้วย ถ้าไปเผลอวางไว้หรือแม้กระทั่งถืออยู่ก็ตามน้องกวางน้อยน่ารักเหล่านี้จะแปลงกลายเป็นโจรขโมยอาหารของท่านทันที แสบซ่าขัดกับหน้าตาอันน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย

นอกจากจะเป็นเกาะกวาง ที่นี่ยังมีอาหารอันเลื่องชื่อใครมาต้องลองบอกไว้ตรงนี้ นั่นคือหอยนางรมยักษ์ใหญ่ เราเคยกินหอยนางรมแบบนี้มาบ้างที่เมืองไทยแต่ไม่ค่อยติดใจเท่าไหร่เพราะบางทีตัวใหญ่แต่เหนียว เหม็นคาว แต่ที่ฮิโรชิม่าสุดยอดดดดด อร่อยมากย่างกันสดๆคนยืนรอต่อแถวกันเต็มเลย ราคาตัวละ 500 – 600 เยน

เดินต่อไปที่นี่จะมีตลาดเล็กๆ บรรยากาศจะออกแนวตลาดโบราณๆน่ารักมากเลย มีร้านขายอาหารขายของฝากเยอะแยะมากเดินเพลินกินเวลาไปนานเลยแหละสำหรับตลาดนี้

บนเกาะมิยาจิม่ามีสิ่งสำคัญอีกแห่งนึงนั้นก็คือศาลเจ้าอิซึคุชิม่า มีเสาโทริอิขนาดใหญ่อยู่กลางทะเล ศาลนี้สูง 16 ม. และเป็นหนึ่งในเสาโทริอิ ที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอยู่บนเกาะเล็กๆนี้ได้ทั้งวัน จริงๆบนเกาะนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ดูกันอีกหลายจุดแต่เราต้องรีบเดินทางกลับ บอกตรงๆหลงเสน่ห์เกาะเล็กๆแห่งนี้เข้าแล้ว

ได้เวลากลับขึ้นเรือกันแล้ว ทำไมเวลามันผ่านไปไวจัง ตอนแรกที่คิดว่าเดินทางล่องเรือตั้ง 9 วัน โหยยยยต้องเบื่อแน่ๆ พอมาจริงทั้งบนเรือและเที่ยวบนฝั่งทำให้รู้สึกว่ามีเวลาน้อยไปเลย

วันนี้เราไปทานอาหารเย็นที่ห้อง Vivaldi อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารอิตาเลี่ยนแต่วันนี้มีซูชิด้วยแหะ

ทานอาหารเสร็จออกมาผ่าน The Piazza มีการแสดงกายกรรมอยู่พอดี เสียดายมาทันช่วงท้ายๆพอดี อันนี้เป็นแค่การโชว์เล็กๆนะคะ โชว์ใหญ่ๆจะแสดงที่ Princess Theater เป็นโรงละคร โรงหนังซึ่งจะเปลี่ยนการแสดงไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน

เช้าวันที่ 3 ในญี่ปุ่นวันนี้เรือเทียบท่าที่เมืองโคจิ ใครชอบปราสาทแบบญี่ปุ่นคงชอบเมืองนี้ที่นี่มีปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่นตั้งอยู่นั่นคือปราสาทโคจิ  ที่ท่าเรือของเมืองโคจิมีหญิงสาวใส่ชุดกิโมโนกางร่มมายืนต้อนรับพวกเราด้วย

ที่เมืองโคจิเรานั่ง Shuttle Bus แล้วเดินอีกนิดหน่อยมาขึ้นรถรางเพื่อไปชมปราสาทโคจิ แต่จริงๆแล้วจากจุดจอด Shuttle Bus สามารถเดินมาที่ปราสาทได้นะคะแต่ว่าเราเลือกเดินตอนขากลับค่ะ ที่ปราสาทโคจิถ้าอยากขึ้นไปชมด้านบนของปราสาทต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 420 เยน

ข้างในปราสาทมีรูปภาพ โมเดลจำลองปราสาทและวิถีชีวิตของชาวเมืองโคจิในสมัยก่อนไว้ให้ดูด้วย

ปราสาทโคจิเป็น 1 ใน 12 ที่รอดจากสงครามและภัยพิบัติอื่นๆ สร้างขึ้นระหว่างปี 1601-1611 แต่อาคารหลักสร้างขึ้นในปี 1748 ได้รับการบูรณะใหม่หลังจากโดนไฟไหม้ ปราสาทแห่งนี้เป็นที่อาศัยของขุนนางและผู้ปกครองเมือง

ด้านหน้าของปราสาทโคจิมีพิพิธภัณฑ์ที่พึ่งสร้างใหม่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทโคจิซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่พึ่งเปิดเมื่อเดือนมีนาคม 2017 นี้เองเป็นที่รวบรวมเอกสารและงานฝีมือต่างๆตั้งแต่สมัยก่อนเก็บไว้ที่นี่

อย่างที่บอกไว้ว่าขากลับเราจะเดินกลับกันเพราะว่าแถวที่จะมีตลาดใครอยากช้อปปิ้งขากลับก็เดินได้เลย เราเดินผ่านHirome Market ที่นี่เป็นตลลาดปลา มีอาหารทะเลสดๆ ขาย และมีร้านอาหารเพียบน่ากินทั้งนั้น อยากจะกินให้หมดทุกอย่างเลยใครชอบอาหารญี่ปุ่นมาเจอตรงนี้เตรียมเงินไว้เยอะๆเลยจ้า

ปลาคัทสึโอะ เมนูดังของโคจิ จะทานให้อร่อยต้องย่างฟางแบบนี้ย่างให้ไหม้ที่หนังแต่ด้านในยังชุ่มฉ่ำอยู่

จากตลาดเราเดินกลับไปที่จุดขึ้นรถเราเดินผ่าน Harimaya Bridge เป็นแลนมาร์คสำคัญอีกแห่งของเมืองโคจิ สะพานแห่งนี้มีขนาดเล็กมากบางคนอาจคิดว่าไม่เห็นมีอะไรเลยแต่สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเก่าแก่มีประวัติยาวนานมาก เป็นเหตุการณ์น่าเศ้ราของความรักต้องห้ามของหญิงสาวกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง เล่าแค่นี้แล้วกันไม่งั้นคงยาวสามหน้ากระดาษแน่ๆ

พอมาถึงท่าเรือก็เห็นชาวเมืองเริ่มเดินทางมาที่ท่าเรือกันพอสมควร มีเด็กๆมาแสดงมีวงดนตรีมาบรรเลงส่งเรือของพวกเราด้วย

ช่วงค่ำๆถ้าหากเราทานอาหารเสร็จแล้วยังไม่อยากกลับห้องพัก เราก็จะไปนั่งชมภาพยนตร์ที่ Movie Under The Star แต่ว่าอากาศอาจจะเย็นนิดหน่อย แต่บรรยากาศดีมากยิ่งช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกด้วยยิ่งบรรยากาศดีมากๆเลย

อรุณสวัสดิ์เช้าวันสุดท้ายในประเทศญี่ปุ่น วันนี้ลืมตาตื่นมาก็จะถึงท่าเรือของเมืองเบ๊บปุแล้ว ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายของทริปนี้ เมืองเบ๊บปุมีอะไร? เมืองเบ๊บปุเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องของออนเซ็นจนได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงของออนเซ็นญี่ปุ่น ถ้าหากคุณลองเสิร์ชใน Google คุณจะเห็นภาพเมืองที่มีควันพวยพุ่งขึ้นมาหลายจุด ตอนแรกที่เราเห็นเรายังคิดว่ามันคืออะไรเมืองนี้เคยมีไฟไหม้เหรอหรืออะไร? แต่ที่จริงควันเหล่านั้นมันคือควันของน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วเมืองเบ๊บปุเลย

อย่างที่บอกว่าบ่อน้ำพุร้อนที่เมืองนี้มีเยอะมากกกกกกก จะให้ไปทั้งหมดในหนึ่งวันคงไปไม่ครบเราเลยเลือกไปโซน Red Hell ชื่อบ่อว่า Chinoike Jigoku mae หรือบ่อสีเลือดเป็นหนึ่งในบ่อนรกทั้ง 8 บ่อของเมือง ฟังชื่อแล้วน่ากลัวจังเลย เพราะว่าบ่อนี้มีสีแดงคนเลยเปรียบเป็นบ่อสีเลือดสาเหตุที่บ่อนี้เป็นสีแดงเพราะว่ามีส่วนประกอบของสนิมเหล็กอยู่มาก

ค่าเข้าคนละ 200 เยน แต่ว่าถ้ามีเวลาอยู่ชมบ่อนรกทั้ง 8 เค้าก็มีตั๋วแบบเหมาจ่ายนะคะแบบนั้นถูกกว่า

จากบ่อ Chinoike Jigoku mae เรานั่งรถแท็กซี่ไปลงที่ Beppu Station ที่ Beppu Station มีรูปปั้นสำคัญของเมืองอยู่ด้วยนั่นคือรูปปั้นที่ชื่อว่า Pika Pika Oji san หรือ คุณลุงปิ๊งปิ๊ง คุณลุงคนนี้มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวเบ๊บปุมากๆจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ริเริ่มการท่องเที่ยวบ่อนรกทั้ง 8 ของเมืองให้มีชื่อเสียงไปทั่วญี่ปุ่น

และใกล้รูปปั้นของคุณลุงยังมีบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆด้วย ซึ่งจริงๆบ่อน้ำพุเล็กๆแบบนี้มีอยู่ทั้งเมือง และถ้าบ้านของใครมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ในพื้นที่บ้านซึ่งกฎทางเบ๊บปุนั้น หากบ้านใดมีบ่อน้ำแร่จะต้องแบ่งเพื่อนบ้านอาบด้วย สังเกตระหว่างทางเดินก็จะมีบ่อน้ำพุร้อนตลอดทางเลย

จากสถานีเบ๊บปุเราตั้งใจจะเดินไปที่ Downtown เพื่อหาร้านอร่อยๆทาน แต่โชคไม่เข้าข้างไม่รู้ว่ามาผิดเวลาหรืออะไรทำไมไม่มีร้านไหนเปิดเลยอ่า T T เดินอยู่ตั้งนานเลยตัดสินใจขึ้นรถเมล์กลับไปที่ท่าเรือ

ระหว่างเดินอยู่เราก็ผ่านบ่อน้ำพุร้อนทาเคะงาวาระที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อค.ศ. 1879 ด้วยการก่อสร้างที่สวยงามแบบย้อนยุคทำให้ที่นี้ได้รับความสนใจจนกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเบ๊บปุ ภายในมีทั้งบ่อแช่น้ำและบ่อทรายร้อน

หนๆก็กินแห้วแทนกินข้าวเพราะ Downtown ไม่เปิด ก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นกันในซอยแก้เซ็งกันนี่แหละ ฮ่าๆๆ

เวลายังเหลือก่อนเรือออกเราก็เลยไปที่ Beppu Beach Sand Bath ที่นี่มีบริการอบทรายร้อนแถมยังอยู่ริมทะเลวิสวยอีกตั้งหากแถมอยู่ใกล้ท่าเรือสุดๆ ค่าใช้จ่าย 1,030 เยน ให้เรานอนอบทราย 15 นาที ประโยชน์ของการอบทรายร้อนเค้าบอกว่าจะทำให้ดูอ่อนเยาว์ไม่น่าละพอทำเสร็จส่องกระจกนึกว่าเด็ก 3 ขวบ ที่นี่ยังมีออนเซ็นเท้าชิวๆ ริมทะเลที่ถือเป็นไฮไลต์อีกด้วย สามารถนั่งแช่เท้าไปชมวิวไปด้วยฟินนนนนน

เวลาแห่งการลัลล้าบนเกาะญี่ป่นก็หมดลงแล้วเมืองนี้เป็นเมืองสุดท้าย จากนี้เราก็ล่องเรือกลับไต้หวัน ซึ่งใช้เวลาอีก 1 วัน เต็มๆ

เย็นนี้เรามีดินเนอร์พิเศษที่ห้องอาหาร Sabatini’s Italian Restaurant ห้องนี้จะมีค่าใช้จ่ายนะคะแต่ไม่ใช่ค่าอาหารจะเป็นค่าจองที่นั่งราคา 29 ดอลล่า

หลังจากดินเนอร์เสร็จเราเดินขึ้นไปที่ชั้น 14 กะว่าจะไปกินพิซซ่าต่ออีกแต่พอขึ้นไปก็ตกใจเลยคนเยอะมาก ที่ดาดฟ้ามีงานปาร์ตี้ซึ่งใน Patter ก็ไม่ได้มีบอกล่วงหน้าแต่คงมีประกาศบอกแต่ว่าเราไม่ได้ยินคงเพราะอยู่ในห้องอาหารเกือบพลาดปาร์ตี้แล้วมั้ยละ งานปาร์ตี้สนุกสนานมากมีเกมส์ต่างๆ มีการแสดงโชว์เล็กๆ มีแต่งหน้าแฟนซีและมีวงดนตรีมาเล่นดูนักท่องเที่ยวจะสนุกสนานกันมากเลย

จบปาร์ตี้ที่ชั้นดาดฟ้าใครยังติดใจกับบรรยากาศก็ไปต่อกันได้ที่ Skywalkers Nightclub อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเข้านะคะ ที่ห้องนี้ผนังจะเป็นกระจกสามารถนั่งชมวิวได้ ตอนกลางคืนก็จะมีดีเจเปิดเพลงทุกคืนเลย

ช่วงเช้าในวันอื่นๆถ้าหากมีเวลาก่อนลงเที่ยวตามเมืองต่างๆ เราจะแวะไปที่ชั้น 7 เสมอ เพราะที่นี่จะมีระเบียง และทางเดินที่สามารถเดินรอบๆเรือได้เลย ตรงนี้ก็จะเป็นสถานที่สำหรับวิ่งในตอนเช้าหรือใครไม่วิ่งจะเดินกินลมชมวิวยามเช้าเหมือนเราก็ได้ ส่วนตัวเราชอบส่วนนี้มากๆ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายและวันที่ได้อยู่บนเรือ 1 วันเต็มๆเลยเราเลยตลอนทัวร์ชมกิจกรรมต่างๆบนเรือเอาให้ครบให้สะใจกันไปเลย โดยเริ่มจาก ชมการสาธิตการทำอาหารของเชฟ Ottavio เชฟใหญ่ของเรืออาจฟังดูเฉยๆแต่เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจตอนแรกเราเกือบพลาดเพราะอ่านใน Patter ก็เฉยๆแต่มีพี่ลูกเรือคนไทยแนะนำว่ากิจกรรมนี้น่าสนใจควรไปดูจากั้นเราก็วิ่งเลยค่ะ

จบโชว์ทำอาหารจากเชฟ ไม่รอช้าไปทำกิจกรรมต่อไป ที่ Wheelhouse Bar กิจกรรมที่ห้องนี้จะมีหลายเวลาอย่างวันนี้ก็มีทั้งการสอนหมุนไม้กลอง, สอนอูคูเลเล่ และก็มีกิจกรรมทุกวันก็ต้องตามอ่านใน Patter ว่ามีกิจกรรมอะไรเวลาไหนบ้าง

ในส่วนของบาร์นอกจาก Wheelhouse Bar ยังมีห้องอื่นให้นั่งชิลฟังเพลงทำกิจกรรมอีกเช่น Explorers Lounge, Crooners Bar,  Churchill’s Lounge และ Club Fusion

Explorers Lounge

Crooners Bar

Club Fusion

ที่ Wheelhouse Bar จะมีช่วง Happy Hour คือสั่งเครื่องดื่มแก้วที่สองในราคา 1 ดอลล่าก็เราก็ไม่ปล่อยให้พลาดพอดีที่บาร์มีพี่บาร์เทนเดอร์ที่เป็นคนไทยเลยคุยกันสนุกและพี่เค้าก็แนะนำแก้วนี้มาให้ และช่วงนี้ยังมีวงดนตรีมาบรรเลงเพลงเพราะให้เราฟังอีกด้วยนะ เวลานี้ชิลสุดๆไปเลย

วันนี้ช่วงหัวค่ำมีการแสดงไฮไลท์สำคัญคือ Farewell Variety Showtime  ที่ห้อง Princess Theater จะมีโชว์กายกรรมต่างๆ ดูแล้วต้องร้องว้าวเลยทุกโชว์เก่งมากสมกับเป็นโชว์ปิดท้ายจริงๆ

จบโชว์อย่างฟินๆกันไป แต่ว่าความสนุกของวันนี้ยังไม่จบช่วงดึกจะมีงาน Farewell Balloon Drop Celebration งานปาร์ตี้ลูกโป่งปิดท้ายการเดินทางในครั้งนี้ จัดที่ The Piazza แขกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่มีการแสดงดนตรีให้แขกทุกคนได้ร่วมเต้นกันอย่างสนุกสนานใครไม่เต้นยืนดูก็มีความสุขไปด้วย

 

ค่ำคืนสุดท้ายบนเรือจบลงอย่างสวยงาม แขกกลับห้องนอนแต่ว่าอย่าลืมภารกิจสำคัญเราจะต้องเก็บกระเป๋าวางไว้หน้าห้องให้เรียบร้อยก้องเวลาสี่ทุ่มเพราะเจ้าหน้าที่ต้องเอากระเป๋าของเราไปเก็บไว้และให้เราไปรับตอนลงเรือเรียบร้อยแล้วซึ่งก่อนจะลงเรือวันพรุ่งนี้เราจะได้แท๊กสีของตัวเองเอาไว้แยกว่าเราอยู่กลุ่มไหนเวลาเอากระเป๋าก็จะถูกแบ่งแยกตามสีของเรา

เรือแล่นถึงท่าเรือคีลุงประเทศไต้หวันเวลา 7.00 น.พวกเราจะต้องเดินทางไปจุดนัดพบตามสีที่เราถูกแบ่งไว้ จากนั้นก็ปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ ผ่านตม.ของไต้หวันเข้าเมืองอีกครั้ง วันนี้ไฟล์ทกลับประเทศไทยของเราคือไฟล์ท 22.00 น. เพราะฉะนั้นเวลาของเรายังเหลืออีกมากมายวันนี้เราเลยเที่ยวไต้หวันได้อีกนิดหน่อย

เราเดินทางไปที่วัดหลงซานซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน และเค้าบอกว่าวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์มากโดยเฉพาะในเรื่องความรัก

จากวัดหลงซานเราไปช้อปปิ้งต่อกันที่ย่านซีเมินติง ที่นี่ถ้าเปรียบกับบ้านเราก็คล้ายๆสยามสแควร์ ที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋ามีทั้งแบรนด์เนมและไม่แบรนด์เนม แต่ก่อนจะช้อปปิ้งก็หิวแล้วนะไปหาของกินก่อนดีกว่าเราเลยแวะมาที่ร้านห่านชื่อดังในย่านซีเหมินติง บอกก่อนว่าปปกติไม่ค่อยทานเนื้อห่านเท่าไหร่เพราะกลิ่นคิ่นข้างแรงแต่ร้านนี้ผ่านมากๆแทบไม่มีกลิ่นเลย สั่งมาทานคู่กับหมี่หุ้นอร่อยสุดๆ

หลังจากอิ่มแล้วก็ได้เวลาช้อปปิ้ง ของส่วนใหญ่ที่ย่านนี้ก็เป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ย่านนี้กว้างมากเดินได้เป็นวันๆแต่ไม่แนะนำเพราะไม่งั้นเงินคงหมดกระเป๋าแน่ๆ ฮ่าๆๆ

ออกจากซีเหมินติงเราก็เดินทางสู่สนามบินเถาหยวนเพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทย

สำหรับเราทริปนี้ตลอดทริป 7 วัน 6 คืนถือว่าทำให้เราได้เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบใหม่ การล่องเรือสำราญถ้าเป็นสมัยก่อนอาจดูไกลตัวจากความคิดเราแต่พอได้มาสัมผัสแล้วเป็นการเดินทางที่สนุกและดีมาก

นอกจากเส้นทาง ไทเป – คาโกจิม่า – ฮิโรชิม่า – โคจิ – เบ๊บปุ ยังมีเส้นทางอื่นๆ อีกหลายเส้นทางเลยนะคะ

ใครสนใจอยากเดินทางล่องเรือสำราญแบบเราในทริปนี้สอบถามรายละเอียดได้ที่

Fb : Princess Cruises Thailand

Line : @princesscruisesth

โดยบริษัท Regale International Travel

www.regale-travel.com

โทร : 02-635-2450-69 ต่อ 504-508

 

 

 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here