เมืองรอง…มาลองเที่ยวมั้ย – ลำปาง – ลำพูน

เมืองรอง…คืออะไร?

เมืองรองก็คงไม่ใช่เมืองหลัก และเมืองหลักก็คงไม่ใช่เมืองรอง ตอบแบบนี้ก็คงถูก แต่คงโดนเคืองที่จริง

เมืองรองก็คือเมืองที่อยู่รอบ ๆ เมืองหลักค่ะอย่างเช่นภาคเหนือ เมืองหลักก็คือเชียงใหม่นั่นเอง ส่วนเมืองรองก็คือจังหวัดที่เหลือในภาคเหนือ อีก 16 จังหวัด ซึ่งแต่ละภาคก็จะมีหัวเมืองใหญ่ นั่นแหละคือเมืองรอง
.
ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวเมืองรองของภาคเหนือกัน แต่จะให้เที่ยวทั้ง 16 จังหวัดคงไม่ไหว ทริปนี้เราเดินทางด้วยกัน 3 คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เราใช้เวลา 3 วัน 2 คืนกับ 3 จังหวัด โดยทริปนี้เราไปกับทัวร์เอื้องหลวงเดินทางกับ สายการบินไทย เส้นทาง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ซึ่งทางบริษัทการบินไทยได้สนองนโยบายของภาครัฐและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการกระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชน

ในโครงการ “เที่ยวท้องถิ่นไทย ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต ( Grow Local Go Local )” แค่เรานั่งเครื่องลงที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วก็นั่งรถ ต่อไปเที่ยวเมืองรองอย่างจังหวัดลำพูน – ลำปางกันได้แบบสบายๆเลยค่ะ
.
เชื่อว่าหลายคนที่ยังไม่เคยมาเที่ยว จังหวัดลำพูน ลำปางทั้งสองเมืองนี้อยากให้ลองมาสัมผัสกันค่ะ ทริปนี้ครบรสมาก ๆ ไปติดตามได้ในรีวิวนี้เลยค่า #ทัวร์เอื้องหลวง #Thaiairways

.
อยากสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวดีๆแบบนี้สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ทัวร์เอื้องหลวง จำกัด โทร. 02-2887335
E-Mail: sales@toureurngluang.com

เริ่มเดินทางจากกรุงเทพไฟล์ทเช้าหน่อย เพราะจากเชียงใหม่เราต้องเดินทางด้วยรถไปจังหวัดลำปางกันต่อ

เดินทางเช้าก็ไม่ต้องห่วงมาทานอาหารเช้าบนเครื่องบริการจากทางการบินไทยรสชาติอร่อยถูกปากมากเลยค่ะ

ถึงสนามบินเชียงใหม่เราเดินทางต่อ เผลอหลับแปปเดียวก็ถึงลำปางแล้ว เกือบเที่ยงพอดีก็เลยทานอาหารกลางวันกันก่อนที่ร้านฉอเลาะ ร้านอาหารพื้นเมืองรสชาติลำแต้ ๆ ปกติไม่ชอบอาหารเหนือเพราะจะจืดไปสำหรับเรา แต่ร้านนี้รสชาติถึงรส บางจานนี้ออกแซ่บเลยด้วยซ้ำ

ออกมาจากร้านอาหารมีราชรถมาเกยถึงหน้าร้าน มารอรับเราไปนั่งรถม้าต๊ะต่อนยอนชมเมืองลำปางกัน

รูทวันนี้เป็นรูทสั้น ๆ นั่งรถม้าชมเมืองผ่านย่านชุมชนเก่ากาดกองต้า สะพานรัษฎา ห้าแยกหอนาฬิกา ระหว่างทางเราเห็นบ้านเรือนเก่า ๆ เยอะเลย พึ่งรู้ว่าที่ลำปางยังมีบ้านเก่าบ้านโบราณหลงเหลืออยู่เยอะเหมือนกัน แต่ละหลังก็ยังสมบูรณ์สวยงามอยู่เยอะเลย

หลังนี้คือบ้านหลุยส์ ที่ชื่อนี้ก็เพราะว่าบ้านนี้เป็นบ้านของคุณหลุยส์ เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานที่เมืองไทย ในยุคนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ จังหวัดลำปางเลยอนุรักษ์บ้านหลังนี้เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

รถม้าวิ่งมาเรื่อยจนถึงวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เป็นจุดสิ้นสุดสำหรับรูทนี้ จากที่มาลำปางสังเกตได้ว่า วัดจะเยอะมาก และเป็นวัดเก่าแก่ และยังได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนใหญ่จะมีเจดีย์สีทองใหญ่โตแบบนี้เกือบทุกวัด สถาปัตยกรรมของวัดก็จะคล้าย ๆ กับที่พม่าเพราะในสมัยโบราณที่นี่คืออาณาจักรล้านนาซึ่งมีความผูกพันกับพม่ามาเป็นเวลายาวนาน และใกล้ชิดจึงไม่น่าแปลกที่ศิลปะต่าง ๆ จะคล้ายกัน

หลังจากนั้นก็มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง นอกจากจะมาไหว้พระเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคลของตัวเองแล้ว ที่นี่ยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีสิ่งมหัศจรรย์อันซีนไทยแลนด์อีกด้วย นั่นก็คือพระธาตุกลับหัวซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงนั่นเอง

พระธาตุลำปางหลวงพระธาตุประจำปีฉลู เพราะสร้างในปีฉลู และก็สร้างเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ถ้าไปลองสังเกตที่พระธาตุจะเห็นรอยกระสุนที่ยิงมาโดนพระธาตุในสมัยที่ยังมีสงครามกันอยู่

หลังจากนั้นก็มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง นอกจากจะมาไหว้พระเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคลของตัวเองแล้ว ที่นี่ยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีสิ่งมหัศจรรย์อันซีนไทยแลนด์อีกด้วย

นั่นก็คือพระธาตุกลับหัวซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงนั่นเอง

เดินทางออกจากพระธาตุลำปางหลวง เรามุ่งหน้าสู่จังหวัดลำพูนทันทีเพราะเย็นนี้เรามีนัดกับชาวบ้านปกาเกอะญอ ที่อำเภอลี้จังหวัดลำพูน

พอมาถึงมีเวลคัมดริ้ง และของว่างเป็นขนมพื้นบ้านมาให้ทาน และน้อง ๆ ใส่ชุดประจำเผ่ามายืนตั้งแถวรอรับพร้อมมีการแสดงเล็ก ๆ ของน้อง ๆ ด้วย

สังเกตที่ชุด ถ้าเป็นชุดเดรสยาวชิ้นเดียวมีริ้ว ๆ แบบในรูปนี้แสดงว่ายังไม่ได้แต่งงาน แต่ถ้าเป็นเสื้อกับผ้าถุงแยกชิ้นนั่นคือแต่งงานแล้ว

ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอที่เคร่งครัดในวิถีปฏิบัติ คือ ไม่ทานเนื้อสัตว์ ที่นี่เป็นมังสวิรัติ และรักษาศีลอย่างเคร่งครัดทั้งหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นเราเองมาที่นี่ก็ต้องทานมังสวิรัติเช่นกัน เริ่มด้วยมื้อเย็นบางคนยอมรับว่าแอบคิดในใจว่าอาหารจะอร่อยรึเปล่าฮี่ ๆ แต่จริง ๆ ก็โอเคเลย ถึงเป็นมังสวิรัติก็มีรสมีชาติไม่จืดชืด เราทานอาหารเย็นพร้อมชมการแสดงของน้อง ๆ ตัวเล็ก ๆ

ทานอาหารเย็นเสร็จเราก็เดินดูผลิตภัณฑ์จากฝีมือของชาวบ้าน ที่นี่มีทั้งเครื่องเงิน และผ้าทอที่ขึ้นชื่อเห็นสีสันแล้วถูกใจสุด ๆ เลยซื้อกระเป๋าย่ามมาสามใบเลย

ก่อนกลับมีพิธีผูกข้อมือโดยแม่เฒ่าของหมู่บ้าน เพื่อเรียกขวัญ และความเป็นสิริมงคลให้กับพวกเรา

เสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พัก คืนแรกเราพักที่โรงแรมบ้านไพลิน เป็นที่พักที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านปกาเกอะญอ เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นมาตักบาตรกับชาวบ้านที่นี่ด้วย โรงแรมบ้านไพลินเป็นที่พักขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ใหม่ สะอาด บรรยากาศดี และสะดวก เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับไปหมู่บ้านปกาเกอะญออีกครั้ง

เข้ามาในห้องมีเซอร์ไพรส์จากทีมงานทัวร์เอื้องหลวง เป็นเสื้อชาวปกาเกอะญอวางไว้บนเตียงสำหรับใส่ตักบาตรพรุ่งนี้เช้าด้วยค่ะ

อรุณสวัสดิ์ เช้าแล้วใส่เสื้อชาวปกาเกอะญอสีสันสดใสเตรียมเดินทาง เราต้องออกจากที่พักตั้งแต่ 6.00 น. เพราะว่าชาวบ้านที่นี่ใส่บาตรแต่เช้า ไม่เหมือนในกรุงเทพที่ตื่นเจ็ดแปดโมงก็ยังใส่บาตรได้ เราไปใส่บาตรกันที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พอไปถึงเราเข้าไปกราบไหว้สรีระทิพย์ของหลวงปู่ครูบาวงศ์ก่อนจะไปตักบาตรกัน

ได้เวลาใส่บาตรชาวบ้านจะเข้าไปนั่งรอที่ศาลาทั้งหญิงชาย แม่เฒ่า หรือเด็กก็จะพากันใส่ชุดประจำเผ่ามาใส่บาตรกัน บางคนก็ใส่ทั้งตัว หรือบางคนก็ใส่ร่วมกับเสื้อผ้าแบบสมัยใหม่บ้าง แต่โดยรวมดูแล้วสีสันสวยงามมาก

ไม่ว่าจะเป็นเด็กอายุน้อย ๆ ก็ตื่นมาใส่บาตรกันแต่เช้า อย่างที่บอกว่าหมู่บ้านปกาเกอะญอที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่สามารถปฏิบัติตามวิถีของที่นี่ได้ก็ต้องออกไปหาที่อยู่ข้างนอกหมู่บ้านเอา

นั่งรอสักพักพระสงฆ์เดินมาที่ศาลา การใส่บาตรที่นี่จะใส่เฉพาะข้าวในบาตร ส่วนกับข้าวก็วางไว้ด้านหลัง และจะเริ่มจากผู้ชายก่อน ผู้หญิงทีหลัง และเริ่มจากคนที่แก่กว่าไล่ลงมาจนอายุน้อยที่สุด

ตักบาตรเสร็จชาวบ้านก็แยกย้ายกลับบ้าน อาหารที่ชาวบ้านถวายพระสงฆ์จะยกไปฉันที่กุฏิ

หลังจากใส่บาตรเสร็จเราก็เดินไปชมรอยพระพุทธบาทที่ด้านหลังของวัด

เสร็จจากชมพระพุทธบาทเราไปทานอาหารเช้าตามวิถีปกาเกอะญอกันอีกหนึ่งมื้อ เป็นแบบง่ายๆหน้าตาอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินแต่รสชาติโอเค วัตถุดิบก็ปลอดภัยเพราะทั้งผักทั้งเต้าหู้ชาวบ้านทำเองทั้งหมดเลย

น้องไกด์ชาวปกาเกอะญอที่คอยดูแลและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เราฟัง และต่อไปน้อง ๆ จะพาเราไปที่เจดีย์ศรีเวียงชัย

เจดีย์ศรีเวียงชัย เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมที่จำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่า ตัวองค์เจดีย์เป็นสีทองอร่ามงดงามมาก ๆ

ชาวปกาเกอะญอมักจะมาเดินเจริญสติรอบ ๆ องค์เจดีย์

ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราจะไปกันที่บ้านหนองเงือกไปชมผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของอำเภอลี้ นั่นคือผ้าฝ้ายทอมือ ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำอาชีพทอผ้า และเกษตรกรรม แต่ก่อนจะไปชมและช้อป เราทานอาหารกลางวันกันที่บ้านโบราณ ที่ปัจจุบันรุ่นลูกหลานเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มารับประทานอาหารได้ที่นี่จะเป็นอาหารพื้นเมืองตามวิถีชาวยอง

เดินชมผักที่ปลูกอยู่ในสวนของบ้านหลังนี้แล้วเพลินดีมีความสุขมาก ฝันว่าวันนึงจะมีสวนเล็กปลูกไว้กินเองแบบนี้บ้างผักที่นี่ถึงแม้ว่าไม่ใส่ปุ๋ย หรือสารเคมี แต่ผักก็งอกงามดีดูอย่างขึ้นฉ่ายต้นนี้สิคะ ใบใหญ่มากกกกกก

ผักสด ๆ จากสวนเก็บมาเพื่อเตรียมทำ แกงผักอะยิอะเยาะ อะยิอะเยาะ แปลว่า รวม ๆ กัน

ซึ่งถ้วยนี้ก็คือการเอาผักต่าง ๆ มาปรุงรวมกันนั่นเอง อารมณ์จะคล้ายจับฉ่าย แต่ว่ารสชาติจะเหมือนพวกแกงเห็ดแกงผักหวานประมาณนั้น

หลังจากอิ่มแล้วก็นั่งรถไปที่ร้านมาลีผ้าฝ้ายนาโน ที่นี่จะมีกี่และอุปกรณ์ทอผ้าแบบโบราณจัดไว้ให้ชมด้วย

จากนั้นนั่งรถต่อไปอีกนิด จะไปชมการสาธิตวิธีทอผ้า ซึ่งเริ่มกันตั้งแต่การเก็บเมล็ดฝ้ายกันเลย ซึ่งที่นี่ชาวบ้านยังอนุรักษ์วิธีการทอผ้าแบบโบราณเอาไว้ รู้มั้ยว่าสาว ๆ ในสมัยก่อนเนี่ย ถ้าทอผ้าไม่เป็นมีสิทธิ์ขึ้นคานน๊า เพราะว่าหนุ่ม ๆ เค้าจะชอบสาว ๆ ที่ทอผ้าเก่ง ๆ สวย ๆ กันจ้า

ขั้นตอนต่าง ๆ กว่าจะได้ผ้าสักผืนเริ่มจากเก็บเมล็ดฝ้ายมาจากต้นแบบนี้ จากนั้นมารีดเมล็ดออกเหลือแต่ฝ้ายนุ่ม ๆ จากนั้นนำฝ้ายมากรอเพื่อให้เป็นเส้นด้ายซึ่งดูแล้วยากมากกกกกกก กว่าจะได้ด้านเส้นยาว ๆ ได้ดูแล้วไม่แปลกใจเลยที่ราคาเสื้อผ้าที่ผลิตจากชาวบ้านราคาจะสูงนิดนึง ก็อย่าบ่นเลยค่ะมันคุ้มค่ามาก กว่าจะได้มาแต่ละผืน ช่วยกันอุดหนุนคนไทยด้วยกันภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทยจะได้อยู่ไปอีกนานแสนนาน

คู่รักกี่ทอผ้าที่ต้องทอสองคนพร้อมกัน ยากขึ้นไปอีกกกกกกก ประโยชน์ของการทอผ้าแบบนี้คือจะได้ผ้าผืนใหญ่ หน้ากว้างไร้รอยตะเข็บ ซึ่งต้องใช้ความสามัคคีของคนทอมากๆ

เสร็จแล้วเราไปชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของที่นี่ ที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณของชาวบ้านไว้ด้วย ใครอยากเที่ยวชมวิถีชาวยอง หรือวัฒนธรรมของชาวลำพูนแบบนี้ ก็อย่าลืมมาเที่ยวที่อำเภอลี้กันน๊า ที่นี่ยังมีอะไรอีกหลายที่ที่น่าสนใจ

หลังจากนั้นเราเดินทางกลับไปที่จังหวัดเชียงใหม่ คืนนี้เราจะพักที่โรงแรมรติล้านนา ริเวอร์ไซด์ สปา รีสอร์ทเชียงใหม่ พอไปถึงโรงแรมเก็บกระเป๋าเสร็จเราก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดผ้าไทย เตรียมไปเดินกาดหมั้วที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้กรุ๊ปของพวกเราโดยเฉพาะเลย

เดินไปบริเวณท่าน้ำของโรงแรม ก็เริ่มเห็นซุ้มอาหารต่างๆจำลองบรรยากาศแบบกาดหมั้วมาให้พวกเราได้สัมผัสกันถึงในโรงแรม

มีซุ้มอาหารหลายอย่างทั้งข้าวซอย เมี่ยงคำ ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมครก กระบองทอด เดินชิมกันจนอิ่ม

เดินกาดหมั้วเสร็จ ยังมีการจัดเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ต์อีก โอ้โห นี่จัดเต็มมาจากกาดหมั้วแล้วอาหารก็น่าทานทั้งนั้นเลย

บรรยากาศดีมีเพลงเพราะๆฟังทั้งคืน แถมยังมีรางวัลพิเศษแจกแขกในงานด้วย เสียดายไม่ได้สักรางวัลฮ่าๆๆๆ วันนี้อิ่มท้องอิ่มบรรยากาศมาก ๆ แต่ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาตักบาตรยามเช้าริมน้ำ

วันนี้ตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวตักบาตรริมน้ำกัน พระสงฆ์จะพายเรือมาจากวัดเป็นประจำ แต่วันนี้คณะของเราคนเยอะหน่อยทางโรงแรมเลยใช้เรือใหญ่ไปรับพระสงฆ์มา แต่ถ้าวันปกติพระกับลูกศิษย์จะพายเรือมารับบาตรตอนเช้าทุกวันเลย

ใส่บาตรอิ่มบุญก็มาทานอาหารเช้าให้อิ่มท้องกัน ต่อไลน์อาหารเช้าก็มีค่อนข้างหลากหลาย

ห้องอาหารมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor แต่ถ้าจะให้ได้บรรยากาศต้องนั่งข้างนอกจะได้ชมบรรยากาศกับแสงอ่อน ๆ ยามเช้าไปด้วย

ทานอาหารเสร็จ เราก็เดินเล่นถ่ายรูปชมโรงแรมกันค่ะ สระว่ายน้ำที่นี่ใหญ่มาก เป็นสระแบบอินฟินิตี้ด้วย

ตัวอาคารไม่ได้หวือหวามาก เน้นความเรียบง่ายแต่ดูดีใช้วัสดุเป็นไม้สลับปูนทำให้บรรยากาศอบอุ่นน่าพักผ่อน

หลังนี้เป็นวิลล่าหลังใหญ่มากกกกกก เกือบเท่าบ้านเราเลย ฮ่าๆๆๆ การตกแต่งของโรงแรมจะเป็นสไตล์ล้านนา แต่จะประยุกต์ให้ดูสมัยใหม่มากขึ้น

มาดูห้องนอนของเรากันบ้าง เป็นห้อง Deluxe แต่ขนาดใหญ่มากกกกกกกอีกเช่นกัน พื้นที่ทั้งหมด 60 ตร.ม. เป็นห้องดีลักซ์ที่ใหญ่จริง ๆ

ห้องนอนว่าใหญ่แล้ว ห้องน้ำก็ใหญ่มากสวยมาก ทุกห้องจะมีน้ำตกอยู่ริมหน้าต่างตรงอ่างอาบน้ำแบบนี้ เพราะทางโรงแรมอยากให้แขกที่มาพักรู้สึกเหมือนอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ ซึ่งก็ได้ผลเวลาอยู่ในห้องจะได้ยินเสียงน้ำตลอดเวลาฟังแล้วผ่อนคลาย

ทุกห้องจะมีระเบียงและโซฟาใหญ่ ๆ ให้นั่งเล่นชมวิว

สัก 11.00 น. เราต้องเช็คเอ้าท์แล้ว ยังอยากนอนที่นี่ต่ออยู่เลย เพราะรู้สึกสบายผ่อนคลายมากในโรงแรมนี้ แต่ว่าได้เวลาต้องกลับกันแล้ว

แต่ก่อนจะกลับเราจะไปรับประทานอาหารกันที่ห้องอาหาร La Grand Lanna โรงแรมดาราเทวีกันก่อน

ถ้าพูดถึงโรงแรมดาราเทวีแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องนึกโรงแรมที่มีการตกแต่งสุดอลังการซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ และอลังการกว่าที่เราคิดเอาไว้มากแค่มองผ่านประตูทางเข้าไปถึงด้านในก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่แล้ว แต่เนื่องจากวันนี้เราไม่ได้มาพักก็เลยจะไม่ได้มีรูปด้านในมาฝากกัน แต่มีโอกาสได้นั่งรถชมด้านในรีสอร์ทบอกเลยว่า สมแล้วที่ดาราเทวีจะเป็น Dream Destination ของใครหลาย ๆ คน

เรากลับมาที่ห้องอาหารกันดีกว่า เพราะอาหารของเรามาแล้วหน้าตาดูดีมากมาย เป็นขันโตกแบบประยุกต์ อาหารจะเป็นชุดมีทั้งหมด 6 ชุด ของเราเป็นชุดข้าวซอยจะมีอาหารและของหวานรวม 5 อย่าง รสชาติอร่อยถูกใจเลย

ทานอาหารเสร็จก็ไปต่อที่ของหวานซึ่งถ้าพูดถึงดาราเทวีแล้วไม่พูดถึงมาการองแล้วคงจะไม่ได้ วันนี้มาถึงต้นตำรับแล้วจะพลาดได้ยังไง แต่ว่านอกจากมาการองแล้วบอกเลยว่าเค้กที่นี่ละลานตาน่าทานมากกกกก ซึ่งที่นี่จะมีบุฟเฟ่ต์ที่ Dhara Dhevi Cake Buffet at Kasalong Cafe in Chaingmai ราคา 550 บาท ต่อคน ทานได้ 2 ชั่วโมง รวมเครื่องดื่ม

ด้านข้าง Dhara Dhevi Cake Buffet at Kasalong Cafe in Chaingmai ยังมีกาดดารา ด้านในจะมีร้านขายของต่าง ๆ สามารถเข้าไปเดินช้อปปิ้งกันได้จ้า

ทริปนี้ได้สัมผัสทั้งวิถีชาวบ้านมาจบที่บรรยากาศแบบอลังการอย่างดาราเทวี เรียกได้ว่าครบรสมาก ๆ

ไม่น่าเชื่อว่า 3 วัน 2 คืนเราจะสามารถเที่ยวได้ทั้งเมืองหลักอย่างเชียงใหม่ และเมืองรองอย่างลำปาง ลำพูน จริง ๆ แล้วอีก 2 จังหวัดยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ขอบคุณ ทัวร์เอื้องหลวง การบินไทย ที่พาเราเที่ยวกับทริปดี ๆ แบบนี้ด้วยค่ะ

 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here